วานนี้ (4 สิงหาคม) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการฉีดวัคซีนสูตรผสม SA หรือ Sinovac ตามด้วย AstraZeneca ห่าง 3 สัปดาห์ ว่าเราฉีดวัคซีนสูตรผสมมากกว่า 1 แสนคน ยังไม่มีปัญหาใดๆ กรณีเสียชีวิตนั้น ผลชันสูตรพิสูจน์ชัดเจนว่าเกิดจากเนื้องอกในสมอง ไม่เกี่ยวกับวัคซีน ส่วนประสิทธิภาพจะมีการตีพิมพ์ข้อมูลเป็นเอกสารวิชาการในเร็วๆ นี้ โดยสูตร SA ประสิทธิผลในห้องแล็บ พบว่าสร้างภูมิคุ้มกันได้เทียบเท่ากับวัคซีน AstraZeneca 2 เข็มห่างกัน 12 สัปดาห์
ส่วนคำถามที่ว่าสูตร SA จะฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เมื่อไร เนื่องจากเพิ่งเริ่มฉีด ตอนนี้จึงยังไม่มีข้อมูลที่บอกได้ชัดเจน แต่ทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน หรือนานกว่านั้น ต้องเก็บข้อมูลและดูว่าระยะ 3-6 เดือนที่รับวัคซีนไปแล้วภูมิคุ้มกันตกลงหรือไม่ อย่างไร ต้องกระตุ้นอีกหรือไม่ จะเป็นการศึกษาข้อมูลและวิจัยเพิ่มเติมซึ่งเหมือนกันทั่วโลก โดยจะวิจัยว่าจะบูสต์ด้วยอะไร ระยะห่างแค่ไหน เพื่อความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
“เบื้องต้นในทางทฤษฎีหากฉีดวัคซีนต่างแพลตฟอร์มที่เป็นการกระตุ้นภูมิคนละระดับจะส่งผลดี อย่าง Sinovac กระตุ้นภูมิระดับ Humoral Immunity ส่วน AstraZeneca จะเป็นระดับ Cellular Immunity ซึ่งมีข้อดีต่างกัน ดังนั้น 2 ตัวนี้ก็จะเสริมกัน ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยข้อมูลวิชาการและติดตามข้อมูลอีกระยะหนึ่ง” นพ.โอภาสกล่าว
.
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การฉีดสูตร SA เป็นไปได้หรือไม่ที่จะฉีดวัคซีนเป็นโปรแกรมใหม่เลย เช่น วัคซีน Pfizer 2 เข็ม นพ.โอภาสกล่าวว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น เนื่องจากหากมีการฉีดวัคซีนไปแล้ว อย่างน้อยร่างกายจะมีภูมิ โดยจะมีเซลล์ที่จดจำภูมิคุ้มกัน พอฉีดเข้ามาอีก 1 เข็มก็จะเป็นการกระตุ้นภูมิได้เร็วมาก
ทั้งนี้ทฤษฎีของบูสเตอร์โดส คือไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เมื่อมีการฉีดวัคซีนเพิ่มเข้าไปก็จะมีการกระตุ้นภูมิได้เร็วมาก เพราะเซลล์ร่างกายจดจำไวรัสได้ แต่มีแนวโน้มในการกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วย 2 เหตุผล คือไวรัสกลายพันธุ์ ซึ่งหากไม่มีสายพันธุ์เดลตา โลกเราจะอยู่ง่ายกว่านี้เยอะ และเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีการกลายพันธุ์ไปอีกอย่างไร เป็นสิ่งที่ทํานายไม่ได้ ต้องติดตามข้อมูลทางวิชาการเพิ่มเติม