หากขึ้นต้นว่า Coco เป็นเรื่องราวของเด็กชายชื่อ มิเกล ผู้เกิดในครอบครัวนักทำรองเท้า แต่มีความฝันอยากเป็นนักดนตรี ซึ่งเป็นอาชีพต้องห้ามของครอบครัวนี้มาหลายชั่วอายุคน แอนิเมชันเรื่องนี้ก็คงเป็นเหมือนหนังอีกเรื่องที่บอกเล่าเรื่องราวของการทำตามความฝันของตัวเอกที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ และอาจถูกจัดอยู่ในหนังประเภทดูแล้วให้แรงบันดาลใจ
แต่นั่นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เพราะเนื้อแท้ของ Coco พาเราไปไกลกว่านั้น หนังพาเราไปอยู่ในช่วงเทศกาล Día de los Muertos หรือ Day of the Dead ของเม็กซิโก ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม และสิ้นสุดในวันที่ 2 พฤศจิกายนของทุกปี
Day of the Dead หรือวันแห่งคนตาย ชื่อนี้อาจฟังดูน่ากลัวและไกลตัวคนไทยอย่างเรา แต่หากบอกว่ามันคือเทศกาลที่ลูกหลานจะระลึกถึงบรรพบุรุษที่มีรูปอยู่บนหิ้งบูชา จัดเตรียมอาหารที่ชอบไว้ให้ และโปรยกลีบดอกดาวเรืองไว้เป็นทาง เพราะเชื่อว่ากลีบดอกไม้สีเหลืองนี้จะช่วยนำทางปู่ย่าตายายให้กลับมาฉลองด้วยกันที่บ้านปีละครั้ง ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับเทศกาลเช็งเม้งของคนไทยเชื้อสายจีน หรือการทำบุญสรงน้ำอัฐิของบรรพบุรุษที่เสียไปแล้วในช่วงสงกรานต์ของไทย
เมื่อเปรียบเทียบกันแบบนี้ เรื่องที่ดูไกลตัวเราอย่าง ‘วันแห่งคนตาย’ ของเม็กซิโกก็กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวเราขึ้นมาทันที
แน่ล่ะ ไม่ว่าที่ไหน ความตายไปเยือนได้ทั้งนั้น
ความลึกซึ้งของแอนิเมชันเรื่องนี้ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เพราะ Coco จูงมือคนดูข้ามไปถึงโลกหลังความตายที่ไม่ได้ดูน่ากลัว เพราะมีสีสัน มีชีวิตชีวา และที่สำคัญคือมีคนที่เรารักอยู่ที่นั่น
แต่ความน่ากลัวอยู่ตรงที่โลกคนตายนั้นกลับมีความตายรออยู่อีกครั้ง! ทั้งยังเป็นความตายที่ขึ้นอยู่กับความรักและความทรงจำจากโลกคนเป็น เพราะหากความรักนั้นยังคงอยู่และความทรงจำยังไม่จางหายไป ชีวิตของคนตายก็ยังอยู่ได้อย่างยืนยาว แต่หากความรักและความทรงจำจบลง ชีวิตของคนตายก็จะพบกับความตายที่แท้จริง
และนั่นคือสิ่งที่มิเกลได้เรียนรู้ในคืนสุดท้ายของเทศกาล Día de los Muertos
ทั้งที่พอจะเดาทางได้ว่าแอนิเมชันตระกูลดิสนีย์คงไม่เลือกทำร้ายจิตใจคนดูที่ส่วนหนึ่งคือเด็กๆ แต่คนดูที่เป็นผู้ใหญ่อย่างเราก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วยมิเกลอย่างสุดตัว หลังจากที่เขาเจอเรื่องเสียใจจนเลือกหันหลังให้กับครอบครัวที่มีทั้งพ่อ แม่ ยาย และญาติๆ รวมถึงคุณทวดที่ชื่อ โคโค่ เพราะผิดหวังที่ไม่มีใครในครอบครัวสนับสนุนให้เขาทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และนั่นเองที่ทำให้เขาจับพลัดจับผลูหลุดเข้าไปอยู่ในโลกหลังความตายที่ถึงจะไม่มีอะไรน่าสยดสยอง แต่ก็ยังไม่ใช่เวลาของเขา
อีกทั้งมิเกลยังต้องเจ็บซ้ำอีกต่อ เมื่อพบว่าครอบครัวที่อยู่ในอีกโลกก็ไม่ได้ต่างอะไรจากครอบครัวที่เขาหันหลัง จนทำให้มิเกลต้องวิ่งหนีอีกครั้งเพื่อแลกกับความฝันในการเป็นนักดนตรี
ถึงแม้ไทม์ไลน์ในเรื่องจะกินเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่เราได้เห็นภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ยอมทุ่มเททุกอย่างในชีวิตเพื่อสิ่งที่เขาคิดว่าสำคัญที่สุดและรักที่สุดโดยทิ้งความกลัวออกไป ก่อนจะเติบโตขึ้นทางความคิดภายในเวลาสั้นๆ
ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่มิเกลได้ไปผจญภัยในโลกของคนตายก็ไม่ได้ต่างอะไรกับชีวิตของคนดูอย่างเราที่ต่างก็มีความฝันของตัวเอง และอยู่ในระหว่างการเดินมุ่งหน้าไปตามความฝันนั้น ซึ่งระหว่างทางก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘สิ่งที่คิดว่าสำคัญที่สุดนั้น แท้จริงแล้วมันสำคัญที่สุดจริงๆ ไหม’
มิเกลเองก็เจอกับคำถามเดียวกัน และอาจท้าทายกว่าตรงที่สถานการณ์บีบให้เขาต้องตอบตัวเองให้ได้ ณ ตอนนั้นว่าจะเลือกอะไร ระหว่างครอบครัวที่เขาหันหลังให้ และความฝันที่หล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองมาตลอด
การจะเฉลยว่ามิเกลเลือกอะไรก็คงเป็นการเปิดเผยเนื้อหา แต่การบอกว่าคนในครอบครัวนี่ล่ะจะช่วยนำทางเราไปในที่สุดคงเป็นเรื่องที่พอพูดได้ และพอทำให้เข้าใจว่าทำไมแอนิเมชันอย่าง Coco ที่เล่าผ่านวัฒนธรรมและความเชื่อของคนเม็กซิกันถึงทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นเรื่องใกล้ตัว รวมถึงชวนให้เราตั้งคำถามกับตัวเองไปพร้อมๆ กับตัวละคร ทั้งยังบอกเล่าว่าความรักและความทรงจำนั้นหล่อเลี้ยงจิตใจของคนที่รักเราอย่างไรบ้าง
หลังหนังจบ เพลงหนึ่งดังขึ้นในหัวเรา
เพลงที่ว่าไม่ใช่เพลงจากในหนัง ถึงแม้ว่าในเรื่องจะมีเพลงประกอบที่เพราะมากๆ และเชื่อว่าใจของคนดูทุกคนจะต้องจำเพลงนี้ได้
แต่เรากลับนึกถึงเพลงของอะตอม ชนกันต์ ที่ร้องว่า
“… ใช้เวลามากมายตามหามานานเท่าไหร่ สุดท้ายแค่มองกลับมา ก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน…”
- ไอเดียในการทำแอนิเมชันของพิกซาร์และดิสนีย์เรื่องนี้มาจาก ลี อุนคริช ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จาก Toy Story 3 โดยกว่าจะออกมาเป็นเรื่องนี้ อุนคริชต้องทำการบ้านหนักมากในเรื่องของวัฒนธรรมเม็กซิกัน ซึ่งรวมถึงการไปร่วมเทศกาลนี้ 2 ปีติด และการเดินทางไปทั่วเม็กซิโกเพื่อเรียนรู้ว่าแต่ละเมืองมีรายละเอียดในการฉลองเทศกาลนี้อย่างไร
- โลกของคนตายที่เป็นฉากหลักของเรื่องนั้นมีแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเมืองกวานาคัวโต ประเทศเม็กซิโก ซึ่งโด่งดังในเรื่องของบ้านสีสันสดใสที่เรียงรายขึ้นไปตามเนินเขา
- การเพนต์หน้าเป็นรูปโครงกระดูก คือส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ในปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นได้จากในแอนิเมชันเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การเพนต์หน้าแบบนี้จะต่างจากการแต่งหน้าแต่งตัวเป็นผีในวันฮัลโลวีน เพราะการเพนต์หน้าในเทศกาล Day of the Dead เป็นสัญลักษณ์ในการระลึกว่าบรรพบุรุษหรือคนที่เรารักที่ได้จากไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งแล้ว