เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา THE STANDARD POP ได้เชิญชวน 4 หนุ่มสมาชิกวง MEAN พร้อมด้วย นนท์-ธนนท์ จำเริญ, ดาโน่-ดนัย ธงสินธุศักดิ์ โปรดิวเซอร์ฝีมือเยี่ยม และ จี๊บ-เทพอาจ กวินอนันต์ ผู้บริหารค่าย LOVEiS เพิ่งมาร่วมพูดคุยกับ THE STANDARD POP บน Clubhouse เกี่ยวกับผลงานเพลงใหม่ นั่งโง่ๆ ริมทะเล และเรื่องราวเบื้องหลังของอัลบั้มชุดล่าสุด Power Bank
ในระหว่างที่พวกเขากำลังทำอัลบั้มใหม่ วันนี้เราได้เก็บตกบรรยากาศ นั่งโง่ๆ ริมทะเล มาให้แฟนๆ วง MEAN ได้ฟังกันอีกครั้ง
จุดเริ่มต้นของเพลง นั่งโง่ๆ ริมทะเล ได้ยินว่านี่คือเพลงแรกจากอัลบั้มใหม่ของวง MEAN
ดาโน่: ผมขอพูดโดยภาพรวมก่อนแล้วกันนะครับ ตอนที่ผมเข้ามารับหน้าที่โปรดิวเซอร์ให้กับอัลบั้มใหม่ของวง MEAN ผมมีไอเดียหนึ่งที่อยากให้โปเต้มีส่วนร่วมในงานมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเวลาผมทำงานมันมักจะวนๆ อยู่ที่ตัวนักร้องว่าเขาเป็นอย่างไร เขาร้องอย่างไร เขาคิดอะไรอยู่ เขามีไอเดียอย่างไรบ้าง
หลังจากนั้นเราก็เริ่มขุดเดโมของโปเต้ขึ้นมาฟังกัน ซึ่งหลายๆ อย่างที่โปเต้เขาแต่งไว้ ทุกคนก็รู้สึกว่าน่าสนใจ คือวง MEAN จะรู้ว่าเดโมของโปเต้ส่วนมากจะมีความพิเศษคือ เมโลดี้จะเป็นภาษาญี่ปุ่น ไม่รู้ทำไม
โปเต้: ครับ ภาษาญี่ปุ่นมั่วๆ ครับ
ดาโน่: มันเป็นฟีลลิ่งส่วนตัวของเขา แล้วมีอยู่เพลงหนึ่งที่พอฟังแล้วมันให้ความรู้สึกชิลๆ และเพลงนั่นก็กลายเป็น นั่งโง่ๆ ริมทะเล นี่แหละครับ
โปเต้: ภาพในหัวตอนแรก ผมอยากแต่งเพลงนี้ให้มีบรรยากาศของห้องนอนวันอาทิตย์ที่อยากจะนอนทิ้งตัวไปทั้งวัน ผมเลยจำลองภาษาเวลาแต่งเมโลดี้ดู เพื่อคิดถึงเพลงที่เราอยากจะให้มันเป็นบรรยากาศหรือว่าคำที่เราอยากได้ เผื่อว่ามันจะมีอารมณ์ของเพลงออกมามากขึ้น ซึ่งมันก็เป็นวิธีที่วง MEAN ใช้มาตลอดครับ
ในหลายๆ ผลงานก่อนหน้าของวง MEAN มักจะเป็นเรื่องราวของความเจ็บช้ำ แต่ดูเหมือนว่าเนื้อหาในเพลง นั่งโง่ๆ ริมทะเล จะไม่ได้อยู่ในสารบบของวงสักเท่าไร
พัด: ผมจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง ผม พี่โน่ แล้วก็ปาล์ม เราบังเอิญเจอกันครับ แล้วเราก็นั่งคุยเรื่องไอเดียกันไปเรื่อยๆ คือก่อนหน้านี้ผมไปเขียนเพลง ถ้าเขาจะรัก (ยืนเฉยๆ เขาก็รัก) ใช่ไหมครับ แล้วชื่อเพลงมันก็ถูกหยิบไปใช้เป็นแคปชันของหลายๆ คนในโลกโซเชียล เราเลยคุยกันว่า บางทีถ้าเราทำให้ชื่อเพลงมันเป็นแคปชันได้ก็น่าจะดีนะ มันพร้อมที่จะถูกนำไปใช้งานได้เลย
พอคุยไปคุยมา ผมก็นึกถึงเมโลดี้ประมาณนี้ นึกถึงคำประมาณว่า ‘นั่งโง่ๆ ริมทะเล’ ซึ่งคำว่านั่งโง่ๆ บางคนอาจจะตีความไปในแง่ลบหรือแง่บวกก็ได้ เพราะบางทีเราแค่อยากจะไปนั่งริมทะเลเฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ปล่อยมันไปตามอารมณ์ ซึ่งพอเจอคำนี้แล้วมันลงกับเมโลดี้พี่เต้พอดี เราเลยลองพัฒนาต่อ ผมก็นึกถึงฟีลของเพลง พอเถอะ ที่ให้กำลังใจอ่อนๆ ให้คนฟังสามารถมูฟออนได้
แล้วเราตั้งใจว่าอยากจะทำเพลงที่โพซิทีฟทั้งอัลบั้ม เราเลยตั้งชื่ออัลบั้มว่า Power Bank เหมือนเป็นการชาร์จพลังให้กับคนฟังเวลาเหนื่อยล้าหรือเจอเรื่องแย่ๆ มา แล้วเนื้อหาของเพลง นั่งโง่ๆ ริมทะเล มันสามารถพูดถึงเรื่องราวของความรักหรือว่าความผิดหวังหรืออะไรบางอย่างได้ เพราะบางทีคนเราจะไปทะเลเพื่อไปพักใจ มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องความรักก็ได้
เราเลยคิดว่าเพลงนี้มันน่าจะตอบโจทย์กับอัลบั้มเรานะ ให้เพลงนี้เป็นเพื่อนกับคนฟัง ช่วยให้เขารู้สึกโอเคขึ้นเหมือนการไปทะเล บางคนอาจจะไม่มีโอกาสได้ไป เราก็อยากให้เขาพกเพลงนี้ไว้ แค่ใส่หูฟัง เปิดเพลงนี้ขึ้นมา เหมือนเป็นทะเลเคลื่อนที่ของทุกคน
ทำไมทุกคนถึงอยากจะทำเพลงในอัลบั้มนี้ให้เป็นเพลงที่โพซิทีฟทั้งอัลบั้ม
ปาล์ม: ความตั้งใจแรกของเราคือ เรารู้สึกว่าวง MEAN อยู่ในจุดที่สามารถเป็นกระบอกเสียงในการสื่อสารกับผู้คนได้ แล้วเราก็ทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บช้ำด้วยเพลงของเรามาเยอะแล้ว ซึ่งหลายๆ ครั้งเพลงที่มันเจ็บปวดมากๆ มันอาจจะทำให้คนฟังดิ่งลงไปมากกว่าเดิมก็ได้ เราเลยคิดว่าน่าจะดีนะถ้าเกิดเราสามารถดึงทุกคนขึ้นมาได้ด้วยเพลงของเรา แล้วไหนๆ เราจะทำอัลบั้มใหม่ ถ้าเรามีพื้นที่ 10 เพลง อย่างน้อยถ้า 1 ใน 10 เพลงนี้มันจะไปโดนใครสักคนที่กำลังบอบช้ำในแง่มุมบางอย่าง แล้วมันสามารถช่วยเขาได้ ผมก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดีครับ
ดาโน่: ต้องพูดตามตรงว่าในฐานะโปรดิวเซอร์ ตอนแรกผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับไอเดียนี้เท่าไรนะ ผมอาจจะอยู่ฝั่งแฟนเพลงที่รู้จักเขาจากเพลงที่ผ่านมา เหมือนเราเข้าใจว่าเขาเป็นอย่างนี้ แล้วเพลงที่คนอยากจะฟังเป็นอย่างนี้
แต่พอเราได้ทำงานไปสักพัก มันก็มีจุดที่ผมเริ่มคลิกว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่มันสามารถเป็นอย่างนั้นได้นะ แล้วเราก็ลองมองไปในยุคปัจจุบัน เพลงที่คนต้องการฟัง หรือว่าบรรยากาศของเพลงที่คนอยากจะเอาไปแชร์เป็นเรื่องราวของตัวเอง หรือว่าเอาไปใช้ทดแทนความรู้สึกของเขา มันสามารถเป็นทางนี้ได้ พอผมเริ่มเข้าใจ เริ่มเห็นภาพ มันก็เลยยิ่งส่งเสริมให้งานมันชัดเจนขึ้นครับ
มาที่นนท์กันบ้าง ได้ยินมาว่าการร่วมงานกับวง MEAN ครั้งนี้ถือเป็นการฟีเจอริงกับศิลปินคนอื่นอย่างเป็นทางการครั้งแรกด้วย
นนท์: ใช่ครับ คือก่อนหน้านี้ก็มีศิลปินหลายๆ คนชวนผมไปฟีเจอริงด้วย แต่ด้วยจังหวะและเวลาของเรา บางทีคิวเรามันอาจจะดึงเวลาของเขาไว้นาน เราก็ต้องปฏิเสธไป เพราะเราก็เกรงใจเหมือนกัน แต่ว่าครั้งนี้ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทุกคนก็มีเวลามากขึ้น ตัวผมก็รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมครับ
ประสบการณ์ที่ได้ทำงานร่วมกับวง MEAN เป็นอย่างไรบ้าง
นนท์: สนุกมากครับ คือวันที่ผมไปถึงค่าย พี่เขาก็บอกให้ผมมาร้องเลย พอร้องไปประมาณครึ่งชั่วโมงผมก็รู้สึกว่าเสียงมันไม่ค่อยพร้อม ผมเลยบอกพี่เขาว่าเดี๋ยวผมมาอัดใหม่นะ ให้เสียงมันดีกว่านี้ แต่เขาบอกว่าไม่ต้อง กูใช้แล้ว เอาอันนี้แหละ (หัวเราะ)
โปเต้: คือวันนั้นเราบอกนนท์ว่า เรามีเพลงที่อยากให้นนท์มาร่วมแจมด้วย เราก็ส่งเพลงให้น้องฟัง พอวันที่นนท์มาที่ค่ายเราก็คุยกันประมาณ 10 นาที คุยเสร็จปุ๊ปเข้าห้องอัดเลย อัดเสร็จเราก็ใช้เลย คือเรารู้สึกว่ามันถูกต้องมากๆ เสียงของนนท์เข้ามาเติมเต็มเพลงนี้ให้มีบรรยากาศที่ครื้นเครงมากๆ เพราะว่าเพลงมันพูดถึงบรรยากาศริมทะเล หรือบรรยากาศที่มันทำให้เราผ่อนคลาย จึงกลายเป็นเสียงที่ทุกคนได้ฟังในวันนี้นะครับ
เนื่องจากว่าตัวเพลงพูดถึงการนั่งโง่ๆ ริมทะเล เราจึงอยากจะขออนุญาตถามทุกๆ คนว่าเคยมีประสบการณ์ที่ตัดสินใจไปนั่งโง่ๆ ให้ทะเลช่วยฮีลจิตใจเราบ้างไหม
นนท์: ผมเคยมีช่วงหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอเหมือนกันนะ เป็นช่วงที่ผมอกหักแล้วตัดสินใจไปทะเล ประมาณว่าเราชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเรา ตอนนั้นผมก็ถอดรองเท้าเตรียมลงทะเลแล้ว แต่ว่าหาดมันไกลมากครับ ผมร้องไห้ตั้งแต่ยังไม่ถึงหาดเลย ร้องไห้เป็นหมา แล้วกว่าจะเดินไปถึงทะเลมันจะมีหนามอะไรไม่รู้ที่มันขึ้นตามทราย เราก็ย่ำลงไปเต็มเท้าเลย โอ้โห จากอารมณ์เศร้ากลายเป็นหงุดหงิดไปเลยครับ
แต่พอเราไปถึง ทะเลก็ช่วยให้เราลืมความรู้สึกเศร้าไปเลยนะ กลายเป็นว่าเรารู้สึกขำ แล้วก็ทุเรศตัวเอง แต่ว่าพอไปนั่งที่หาดนิ่งๆ แล้วด้วยความที่ทะเลภูเก็ตเป็นบ้านเกิดผมด้วย มันเลยทำให้รู้สึกดีขึ้นมาโดยที่เราเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันครับ มันช่วยให้เราลืมไปเลยว่าเราจะต้องมาเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอนะ ผมรู้สึกว่าทะเลเป็นพื้นที่ที่เราเอาเรื่องราวต่างๆ มาทิ้ง หรือว่าเป็นที่ที่เราสามารถชวนเพื่อนมาแล้วก็นั่งฟังเรื่องของเราได้ประมาณนี้ครับ
กัน: จริงๆ วง MEAN ก็มีเหตุการณ์ที่ได้ทะเลช่วยฮีลจิตใจเหมือนกันนะครับ คือพวกเราเป็นวงที่ไม่ค่อยทะเลาะกันเท่าไร แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่วงเราค่อนข้างเครียด ไม่ค่อยคุยกันเลย มีปัญหาต่างๆ เข้ามา แล้วพี่จี๊บก็เห็น พี่จี๊บเลยชวนเราไปหัวหินกัน ไปนั่งริมทะเลคุยกันว่าเราเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับเรา พอเคลียร์กันเสร็จแล้วเราก็กลับมารักกัน กลับมาทำงานกัน ตอนนั้นจำได้เลยว่านั่งคุยกันจนเช้าเลยครับ กลายเป็นว่าครั้งหนึ่งทะเลก็เคยช่วยให้วง MEAN เดินทางมาถึงตรงนี้เหมือนกันนะ
โปเต้: มันคือช่วงที่ผมคิดอยากออกจากวงครับ มันเป็นโมเมนต์หนึ่งที่ผมจะตัดสินใจ แล้วพอได้ไปทะเลกัน เราก็ได้คุยเรื่องปัญหาและหาทางออกร่วมกันครับ
กัน: จริงๆ ตอนนั้นเป็นช่วงที่วงกำลังตึงมากครับ ประมาณว่าถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้อยู่คือวงแตกแน่นอน แต่ก่อนที่เราจะไปทะเลกัน เราได้รับรางวัลจากเวทีหนึ่งมา ซึ่งเป็นรางวัลแรกตั้งแต่เราทำวงกันมาเลย ทุกคนก็เลยคิดว่าเราลำบากกันมากจนทำให้เราเครียด แต่มันก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเห็นนะ มันมีคนที่เขามองเห็นอยู่ เพียงแต่เราอาจจะแค่ไม่เคยรู้ พอเราได้รางวัลมาเป็นถ้วยแบบจับต้องได้เลย เราก็คุยกันว่าอย่าเพิ่งท้อกันนะ หลังจากนั้นเราก็ไปทะเลกัน แล้วมันก็ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นครับ
จี๊บ: ผมขออนุญาตเสริมนิดหนึ่ง คือผมเป็นพี่ใช่ไหมครับ พอน้องๆ เข้ามาคุยด้วย เราก็พอจะรู้ว่าน้องๆ แต่ละคนมีปัญหาอะไร มีมุมมองอย่างไร เรารู้ว่าทุกคนไม่มีใครมีเจตนาร้ายเลยแม้แต่คนเดียว เพียงแต่ว่าบางครั้งเราอาจจะมองกันคนละมุม ให้น้ำหนักกันคนละแบบ เราจึงเป็นเหมือนตัวกลางที่มองเห็นทุกมุมของเขา บางมุมเขาก็อาจจะไม่กล้าพูด บางมุมเขาก็อาจจะเขินกันเอง บางมุมก็คิดเยอะไป
วันนั้นหน้าที่เราก็คือชวนน้องๆ ไปเที่ยวทะเลกัน แล้วก็ให้เขาค่อยๆ พูดทีละเรื่องว่าที่คนนี้พูดแบบนี้จริงๆ แล้วคิดอะไร เพราะบางทีการพูดกับคิดก็ไม่เหมือนกัน พอคนนี้บอกว่าจริงๆ ผมคิดอย่างนี้นะ ฝั่งพี่เป็นผู้รับฟังก็ถึงบางอ้อว่า จริงๆ แล้วความหมายที่ทุกคนอยากจะสื่อสารมันไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อกันเลย ทั้งสี่คนรักกัน เพียงแต่ว่าช่วงนั้นผมคิดว่าทุกคนก็เครียด งานก็เครียด ทุกอย่างก็เครียด มันรวมกันหลายๆ อย่าง ผมเลยคิดว่าลองไปคุยกันสักแมตช์หนึ่ง ซึ่งวันนั้นเราก็เอาทีมงานไปด้วย คือนอกจากเวลาที่เราคุยกันแล้ว เราก็เอาเวลาอื่นออกไปผ่อนคลายกันบ้าง ก็ขอบคุณน้องๆ มากที่ไม่ให้พี่เหงาอยู่ในค่ายคนเดียว แล้วก็สร้างผลงานดีๆ ออกมาให้ผู้ฟังทุกคนครับ
รับชมมิวสิกวิดีโอ นั่งโง่ๆ ริมทะเล ได้ที่นี่