ตามปกติเวลาพูดถึงสัญชาติฝรั่งเศส หลายคนมักจะเบือนหน้าหนีเพราะคิดว่าชื่อนี้การันตีความ ‘อาร์ต’ ที่ถึงจะสวยงามแต่ก็ยากต่อการทำความเข้าใจ ทำให้หนังฝรั่งเศสหลายเรื่องถูกกลืนหายไปในเวลาไม่นาน เพราะไม่สามารถแย่งชิงความนิยมจากผู้คนในรอบฉายปกติ
คราวนี้ด้วยความร่วมมือระหว่างสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย และ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ได้จัดเทศกาลหนังฝรั่งเศสในชื่อ CLAP! FESTIVAL FILM FRANCAIS 2018 เพื่อคัดสรรหนังฝรั่งเศสคุณภาพที่หาดูได้ยากกลับมาให้คนไทยได้รับชมกันอีกครั้ง
ถึงแม้หลายเรื่องอาจจะยังยากสำหรับทำความเข้าใจอยู่บ้าง แต่โดยรวมเราถือว่าโปรแกรมนี้น่าสนใจและช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับหนังสัญชาติฝรั่งเศสได้ดีทีเดียว
1. Ballerina (อีริก ซัมเมอร์, 2016)
แอนิเมชันเล่าเรื่องการเดินทางของสองเพื่อนซี้ ที่ตัดสินใจออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปตามความฝันที่กรุงปารีส คนหนึ่งคือสาวน้อยเฟลิซีกับความฝันการเป็นนักบัลเลต์ในเมืองที่ขึ้นว่าเข้มงวดกับการระบำปลายเท้ามากที่สุด อีกคนหนึ่งคือวิกเตอร์หนุ่มน้อยที่มีความฝันอยากเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก และทั้งสองต้องใช้ความสามารถที่มีร่วมกันเพื่อเอาตัวรอดในโลกแห่งความเป็นจริงให้ได้
ตัวหนังดำเนินเรื่องกระชับ รวดเร็ว สนุกสนาน สามารถจำลองเมืองปารีสเอาไว้บนลายเส้นได้ค่อนข้างสมจริง และที่สำคัญเพลงเพราะมาก! และยังมีของแถมเป็นเสียงเท่ๆ ของแอล แฟนนิง ที่เป็นคนพากย์เสียงตัวละครเฟลิเซียในเรื่องนี้ด้วย
เข้าฉายวันที่ 1 มิถุนายน รอบ 14.30 น.
2. Personal Shopper (โอลิเวียร์ อัสซายาส, 2016)
หนังที่ทำให้เทศกาลหนังเมืองคานส์แตกเป็น 2 สาย เพราะในบางรอบก็โดนสับเละจากเหล่านักวิจารณ์ แต่ในขณะที่บางรอบกลับได้รับการ Standing Ovation ยาวนานถึง 4 นาทีครึ่ง
หนังเล่าเรื่องราวของหญิงสาวที่ทำอาชีพ Personal Shopper หรือผู้ช่วยบริการให้คำปรึกษาด้านแฟชั่น เธอมีน้องชายฝาแผดแต่เขาได้เสียชีวิตลงเนื่องด้วยปัญหาโรคหัวใจ แต่ก่อนที่เขาจะตาย ทั้งคู่ได้ให้คำสาบานกันไว้ว่า ใครที่ตายก่อน คนนั้นจะต้องติดต่อหรือส่งสัญญาณมาหาอีกคน เธอจึงพยายามหาทางติดต่อวิญญาณน้องชายให้ได้ และจากความพยายามในครั้งนี้มันกลับทำให้สถานการณ์รอบตัวเธอเลวร้ายลง
ตัวหนังมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ (น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้คนทั้งรักและเกลียดหนังเรื่องนี้) แต่สิ่งที่ต้องชื่นชมมากๆ คือการเอา 2 เรื่องที่ไม่น่าจะเข้ากันได้อย่างแฟชั่นและวิญญาณลึกลับมาผสมกันได้อย่างน่าสนใจ และที่สำคัญเราบอกได้ตรงนี้เลยว่า นี่ผลงานการแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตของคริสเตน สจ๊วตที่มารับบทนำและแบกหนังทั้งเรื่องในครั้งนี้
เข้าฉายวันที่ 1 มิถุนายน รอบ 16.30 น.
3. Faces Places (อานเญส วาร์ดา, 2017)
หนังสารคดีที่เป็นงาน Collaboration Art ร่วมกันระหว่างศิลปินต่างวัยที่หลงใหลใน ‘ภาพ’ เหมือนกัน คนหนึ่งคือ อานเญส วาร์ดา ผู้กำกับหญิงชาวเบลเยียม วัย 89 ปี อีกคนคือเจอาร์ศิลปินชาวเบลเยียม 34 ผู้เชี่ยวชาญด้านภาพถ่ายและอินสตอลเลชันแนวสตรีท
ทั้ง 2 คนตัดสินใจเดินทางร่วมกันเพื่อทำภารกิจพบปะผู้คนในย่านหมู่บ้านชนบทของฝรั่งเศส เพื่อพูดคุยและรู้จักตัวตนของผู้คนต่างๆ ก่อนจะทำภาพพอร์เทรตขนาดยักษ์ของผู้คนเหล่านั้น หรือสิ่งสำคัญ ความทรงจำของสถานที่นั้นๆ ลงบนสถานที่ต่างๆ เช่น อาคาร กำแพง สิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งเป็นที่สถิตแห่งความทรงจำทั้งมวล
ซึ่งผลงานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่ทำเสร็จออกมา หรือตัวหนังที่ทำให้คนดูอบอุ่น ยิ้ม หัวเราะ เศร้าใจไปกับทุกๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ล้วนแต่ยืนยันให้เรารู้อีกครั้งว่า ไม่ว่าถูกนำเสนอในรูปแบบหรือประเภทใด ‘ศิลปะ’ ก็ยังมีพลังในการสร้างสรรค์ความสวยงามในชีวิตให้เกิดขึ้นได้เสมอ
เข้าฉายวันที่ 1 มิถุนายน รอบ 19.00 น.
4. The Little Prince (มาร์ก ออสบอร์น, 2015)
แอนิเมชันสัญชาติฝรั่งเศสที่หยิบเอาการเดินทางของ ‘เจ้าชายน้อย’ ใน Le Petit Prince วรรณกรรมคลาสสิกตลอดกาลของ อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี มาตีความและนำเสนอใหม่ในบริบทที่เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น
ในเวอร์ชันนี้จะถูกดัดแปลงให้เป็นเรื่องเล่าของเด็กหญิง ที่พยายามสอบเข้าโรงเรียนประถมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เพื่อตามใจความความต้องการของผู้เป็นแม่ ที่ตั้งใจและหวังดีจะให้ลูกมีการศึกษาที่ดี มีสังคมที่ดี และเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีงานที่ดีทำในอนาคต แต่ดันลืมถามลูกไปว่า จริงๆ แล้วลูกของเธอนั้นต้องการหรืออยากที่จะเป็นอะไร อีกทั้งเด็กหญิงเองก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะเรียนรู้ว่า ตัวเธอเองนั้นต้องการอะไรในชีวิต แต่แล้วก็ได้ค้นเจอเป้าหมายชีวิตที่เธอเป็นคนกำหนดด้วยตัวเอง เมื่อพบเข้ากับคุณปู่นักบินข้างบ้านที่สอนประสบการณ์ ความรู้ มุมมอง รวมไปถึงการใช้ชีวิต ผ่านการเล่านิทานหรือเรื่องราวของเจ้าชายน้อยที่เขาเคยพบกลางทะเลทรายเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม
แม้เรื่องราวจะถูกดัดแปลงไปบ้าง แต่หนังยังรักเนื้อหา สาระและปรัชญาการเสียดสีสังคมที่ต้องผ่านการตีความอย่างลึกซึ้งซับซ้อนไว้ได้ครบถ้วน และที่สำคัญภาพสวยงาม ต้องชื่นชมทีมงานที่เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้แบบทุกจุดจริงๆ
เข้าฉายวันที่ 2 มิถุนายน รอบ 14.30 น.
5. Lumie’re (เธียรี เฟรโมซ์, 2016)
หนังสารคดีที่บันทึกทุกประวัติศาสตร์ที่ถือเป็นต้นกำเนิดภาพยนตร์บนแผ่นฟิล์ม นับตั้งแต่วันที่ 2 พี่น้องลูมิแอร์ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวและเครื่องฉายที่เรียกว่า Cinématographe ขึ้นมา
บอกได้เลยว่านี่คืออีกหนึ่งหนังสารคดีที่คนรักหนังทุกคนต้องดู เพราะความพิเศษของเรื่องนี้อยู่ที่ เธียรี เฟรโมซ์ ผู้อำนวยการทางศิลปะของเทศกาลหนังเมืองคานส์ ได้กลับไปเอาฟุตเทจเก่าที่พี่น้องลูมิแอร์เคยถ่ายเอาไว้มาร้อยเรียงขึ้นมาใหม่ เพื่อให้คนดูรุ่นหลังได้ย้อนเวลากลับไปในวันนั้นอีกครั้งจริงๆ
เป็นการกลับไปรื้อฟิล์มเก่าของพี่น้องลูมิแอร์ แล้วเอามาร้อยเรียงและกำกับใหม่โดย เธียรี เฟรโมซ์ ผู้อำนวยการทางศิลปะของเทศกาลหนังเมืองคานส์
เข้าฉายวันที่ 2 มิถุนายน รอบ 17.00 น.
6. See You Up There (อัลแบรต์ ดูปองเตล, 2017)
ไฮไลต์ที่ถูกเลือกให้เป็นหนังเปิดรอบปฐมทัศน์ของเทศกาลภาพยนตร์ในครั้งนี้ เพราะว่าเป็นหนังที่รวมเอาองค์ประกอบทุกอย่างทั้งความลึกลับ งดงาม ซับซ้อน แยบคายและฉ้อฉลได้อย่างชาญฉลาด
หนังเล่าเหตุการณ์เมื่อไฟสงครามในปี 1918 เริ่มดับ และเหล่านักรบจากสงครามต้องกลับมาเอาตัวรอดอีกครั้งในสมรภูมิแห่งชีวิตจริง ที่คราวนี้พวกเขาไม่ได้วิ่งหลบแค่กระสุนปืนและลูกระเบิด แต่พวกเขาต้องใช้ศิลปะต่อสู้กับการหลอกลวง แผนการฉ้อฉลครั้งใหญ่ โดยมี ‘เหยื่อสงคราม’ จำนวนมากเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติภารกิจภายใต้หน้ากากที่ถูกออกแบบมาอย่างงดงาม แต่กลับซ่อนความลึกลับไว้อย่างคาดไม่ถึง
เข้าฉายวันที่ 2 มิถุนายน รอบ 19.00 น.
7. The Red Turtle (ไมเคิล ดูด็อค เดอวิท, 2017)
จากตอนแรกที่ดูแบบไม่รู้ข้อมูลมาก่อน เราคิดว่าเรื่องนี้คงเป็นแอมิเนชันสัญชาติญี่ปุ่น เพราะเจือกลิ่นหนังของจิบลิ สตูดิโอทั้งลายเส้นและการดำเนินเรื่องไว้เข้มข้นเหลือเกิน
แต่จริงๆ แล้วนี่คือผลงานของไมเคิล ดูด็อค เดอวิท ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ที่เลือกนำเสนอความสวยงามของชีวิต ผ่านชายเรือแตกที่ต้องติดเกาะอยู่กับเต่ายักษ์สีแดงเพียงลำพัง
เป็นหนังที่ใช้พลังของภาพในการเล่าเรื่องล้วนๆ เป็นหนังที่เต็มไปด้วย ‘สัญญะ’ ที่ทำความเข้าใจได้ยากพอสมควร ถ้าเป็นผู้ชมทั่วไปอาจดูเป็นหนังที่มึนงงและชวนหลับ แต่ถ้าเป็นคนชอบความท้าทายในการตีความหนังที่ลึกซึ้ง ก็ควรลองไปทำแบบทดสอบนี้ดูสักครั้งอยู่เหมือนกัน
เข้าฉายวันที่ 3 มิถุนายน รอบ 14.30 น.
8. The Graduation (แคลร์ ซีมง, 2016)
อีกหนึ่งสารคดีที่คนรักหนัง หรือมีความฝันอยากเป็นคนทำหนังควรดู เพราะหนังพาเราไปสังเกตการณ์สอบเข้า La Fémis (École Nationale Supérieure des Métiers de l’Image et du Son) สถาบันสอนทำหนังที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศสตั้งแต่วันสมัครยาวไปถึงวันประกาศผล
หนังไม่เพียงแค่บอกว่าถ้าคุณอยากเข้าเรียนที่สถาบันนี้ต้องทำอย่างไร เพราะส่วนที่สนุกที่สุดอยู่ที่การถกเถียงกันของคณะกรรมการที่มีเกณฑ์ในการคัดเลือกเด็กที่เข้มงวดสุดๆ วิวาทะเผ็ดร้อนที่บางคนได้ฟังอาจต้องเสียน้ำตา รวมถึงคำถามที่เด็กๆ ได้รับ การสนทนาโต้ตอบแบบไม่มีใครยอมใคร ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฝรั่งเศสถึงเป็นอีกหนึ่งประเทศชั้นนำในการทำหนังมาได้ถึงทุกวันนี้
เข้าฉายวันที่ 3 มิถุนายน รอบ 17.00 น.
9. Long Way North (เรมี ชาเย, 2016)
อีกหนึ่งงานแอนิเมชันวาดมือล้วนๆ ที่บอกเล่าการเดินทางของซาซ่าที่ตัดสินใจหนีการคลุมถุงชนจากครอบครัว เพื่อออกตามหาคุณปู่นักสำรวจที่หายตัวไประหว่างออกเดินทางไปขั้วโลกเหนือเพียงลำพัง โดยมีแค่หมาพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ผู้แสนซื่อสัตย์อยู่เคียงข้าง จนกระทั่งเธอได้พบกับกัปตันเรือหนุ่มที่พาเธอเข้าสู่การผจญภัยครั้งใหม่ในแบบที่ชีวิตธรรมดาไม่มีทางได้พบเจอ