วันนี้ (16 สิงหาคม) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินทางมายื่นฟ้อง เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และ วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของเศรษฐา ในความผิดฐานฟ้องเท็จ, หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) เรียกค่าเสียหาย จำนวน 90,000 บาท
ชูวิทย์กล่าวว่า วันนี้เดินทางมายื่นฟ้องเศรษฐาและวิญญัติ กรณีเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย วิญญัติคงเล่นการเมืองมากไป พูดมากเกินหน้าที่ ไม่รู้เรื่องทนายความ และบ่ายวันนี้ตนเองจะไปยื่นร้องมรรยาททนายความวิญญัติด้วย และในวันพรุ่งนี้ (17 สิงหาคม) ตนจะไปยื่นเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์ ให้สอบสวนว่าเศรษฐาทำธุรกรรมซื้อขายโอนจ่ายเช็คถูกต้องหรือไม่
ชูวิทย์กล่าวว่า ตนเองในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 20,000 หุ้น จึงถือเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายทุกประการ และในวันเดียวกัน เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะยื่นเรื่องทั้งหมดให้กับ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้สอบสวนกรณีการตั้งนอมินีทำการซื้อขายที่ดิน
ตนคิดว่า พล.ต.อ. สุรเชษฐ์จะต้องเรียกสอบสวนกระบวนการ ซึ่งจะสร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งหมด เพราะถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
“การที่คุณเป็นพ่อค้าแล้วใช้วิธีการแบบนี้ ตนไม่อยากจะยุ่ง แต่เมื่อจะเป็นนายกรัฐมนตรี ตนเองก็ต้องนำมาตีแผ่ พรรคเพื่อไทยจะด่าว่าตนเตะลูกบอลเข้าขาใคร ตนไม่รับทราบ เพราะว่าพรรคเพื่อไทยมีแคนดิเดตอีก 2 คน ทันทีที่เศรษฐาเซ็นรับเป็นแคนดิเดตนายกฯ ตนต้องตรวจสอบได้ เพราะเป็นสิทธิของประชาชน” ชูวิทย์กล่าว
ชูวิทย์กล่าวต่อว่า เรื่องที่มีการฟ้องร้องตนเอง อย่าคิดว่าตนจะกลัว ในส่วนกรณีที่มีแม่บ้าน จังหวัดมหาสารคาม ออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องการซื้อขายที่ดินดังกล่าว ในส่วนนี้จะต้องมีการเรียกสอบสวนเพื่อให้เห็นกระบวนการทั้งหมด และหลังจากนี้ตนเองจะเปิดเผยข้อมูลของบริษัทแสนสิริที่ทำการซื้อขายในลักษณะเดียวกับบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ที่ใช้รูปแบบในการซื้อขายและทิ้งบริษัทให้เป็นบริษัทร้าง
เมื่อวานนี้ (15 สิงหาคม) ที่ตนเองแถลงข่าว ได้ขุดหลุมพราง และบริษัทแสนสิริก็ตกหลุมพรางทันที โดยการแถลงข่าวตอบโต้ว่าไม่รู้เรื่อง ซึ่งจะมีประเด็นเรื่องสัญญาจำนอง เพราะในกรณีปกติ ถ้าบริษัทแสนสิริจะซื้อที่ดินก็ควรจะซื้อตามขั้นตอนปกติ ไม่จำเป็นต้องทำสัญญาจำนอง ถือเป็นการครอบสัญญาจำนองด้วยสัญญาจะซื้อจะขาย
ตนขอตั้งคำถามว่า ทำไมจึงไม่ซื้อที่ดินไปเลยทีเดียว แต่กลับต้องไปทำสัญญาจำนองก่อน นั่นเพราะว่ามีการจ่ายเงิน 1 พันล้านบาทให้กับนอมินี จากนั้นจึงไปซื้อที่ในราคา 535 ล้านบาท แล้วเก็บไว้ หลังจากนั้นก็ไปซื้ออีก 1 พันล้านบาท เรื่องนี้แปลกหรือไม่ แต่ที่แสนสิริแถลงกลับไม่พูดเรื่องสัญญาจำนอง เพียงชี้แจงว่ามีการซื้อขายที่ดินในราคา 1.1 ล้านบาทต่อตารางวา ซึ่งอ้างว่าเป็นราคาที่เหมาะสม
ชูวิทย์กล่าวต่อว่า เงินเจ้าของที่ดินเดิมหายไปไหน ในส่วนของแม่บ้านและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) วันนี้ออกมาปฏิเสธไม่รู้เรื่อง เท่ากับคุณจ่ายเงิน 1 พันล้านบาทให้กับแม่บ้านที่ไม่รู้เรื่อง มันแปลกหรือไม่ที่แม่บ้านถือหุ้น 99.9 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่ถือ 1 หุ้นคือ เจ้าหน้าที่ รปภ. ต่อมา รปภ. คนดังกล่าวขายหุ้นทิ้ง แล้วก็ให้ รปภ. อีกคนมาถือแทน สุดท้ายก็ทิ้งบริษัทโดยการไม่ส่งงบบัญชี 5 ปี หลังจากซื้อขาย
“คุณลองไปถามเจ้าของเดิมที่เป็นหมอ ว่าเขาคุยกับใครในการขายที่ดิน คุยกับแม่บ้าน เจ้าหน้าที่ รปภ. หรืออย่างไร หรือคุยกับพี่สาวของใคร” ชูวิทย์กล่าว
ชูวิทย์กล่าวต่อว่า เศรษฐาเป็นคนที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี การกระทำพฤติการณ์ซ่อนเร้นอำพรางเช่นนี้ พ่อค้าอย่างตนรู้ทัน การที่กล้ามาฟ้องตนก็ฟ้องกลับ ถือเป็นการแลกกันหมัดต่อหมัด แล้วตนจะลากเศรษฐามาด้วยหนังสือสัญญา และพยานที่เป็นแม่บ้านและพนักงานที่ดิน
ซึ่งบริษัทมหาชนต้องมีธรรมาภิบาล การที่ให้แม่บ้านกับ รปภ. กู้เงินจำนวน 1 พันล้านบาท ทำไมบริษัทแสนสิริไม่ตอบเรื่องนี้ ที่ตนเองพูดเป็นประโยชน์ของแผ่นดิน ว่าถ้าเอาคนที่มีพฤติการณ์ซ่อนเร้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีย่อมเป็นอันตราย ที่ตนโดนฟ้องตนเองไม่กลัว เพราะมีหลักฐานทุกชิ้น ไม่ได้พูดลอยๆ การตอบโต้ของบริษัทแสนสิริ เหมือนกับถามม้า ตอบช้าง ไม่ตรงคำถาม หากเศรษฐายังได้รับการโหวตเป็นนายกฯ ก็เชื่อว่าอยู่ไม่ถึง 3 เดือน เพราะหลักฐานที่ตนเองเปิดเผยมากมายไปหมด
ชูวิทย์กล่าวต่อว่า ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ตนเตรียมพยานหลักฐานจากกรมที่ดิน สรรพากร และจะให้เรียกรายงานการบัญชี รวมถึงเช็คที่สั่งจ่ายและการโอนเงิน หนังสือสัญญาและเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับที่ดินมาแสดง และในการแถลงครั้งหน้า ตนก็จะแถลงถึงพฤติการณ์แบบนี้อย่างต่อเนื่อง คือที่ดินที่สุขุมวิท ซอย 12
โดยภายหลังยื่นฟ้อง ศาลรับไว้เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ2400/2566 พร้อมนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 30 ตุลาคม เวลา 13.30 น.