วันนี้ (15 สิงหาคม) ที่โรงแรมเดอะ เดวิส สุขุมวิท 24 ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวในประเด็น ‘แฉเพื่อชาติ’ ครั้งสำคัญในชีวิต โดยก่อนแถลงชูวิทย์ได้ระบุว่า 18 สิงหาคมนี้ ขอให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ถูกเสนอชื่ออย่าลืมเข้าไปแสดงตัวที่สภาผู้แทนราษฎร อย่าทำเหมือนที่ผ่านมาที่คอยตั้งบริษัทดิจิทัลเพื่อหลบเลี่ยงการปรากฏตัว
จากนั้นชูวิทย์ได้แสดงภาพกราฟิกคอนโดสูงตั้งอยู่กลางเมือง พร้อมอธิบายว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินที่ถือว่ามีมูลค่าสูงสุดในประเทศไทย คอนโดในภาพนี้สร้างเสร็จแล้ว ตั้งอยู่กลางถนนทองหล่อ ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินแห่งนี้เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของประเทศ
ชูวิทย์กล่าวว่า พฤติการณ์ที่ตนจะพูดต่อไปนี้ตนจะไม่บอกว่าเหมือนพฤติการณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรีคนไหน ให้สังคมพิจารณากันเอง วันนี้ตนขอพูดเฉพาะบุคคลที่จะมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ การเปิดข้อมูลของตนไม่ได้มุ่งหวังผลทางการเมืองหรือโจมตีพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยเองก็สามารถเสนอบุคคลอื่นเป็นนายกฯ ได้ เพราะตนไม่ได้มีข้อมูลมาเปิดเผย วันนี้ตนขอยืนยันว่าเป็นเพียงประชาชนที่มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ผู้จะดำรงตำแหน่ง ซึ่งการกระทำนี้ย่อมเป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้
จากนั้นชูวิทย์ได้นำเอกสารการฟ้องร้องระหว่างชูวิทย์ที่เป็นโจทก์ และปรากฏชื่อ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย และ วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของเศรษฐา เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ตามลำดับ ในฐานแจ้งความเท็จ โดยคำร้องนี้จะไปยื่นต่อศาลเรียกค่าเสียหาย 90,000 บาท
จากนั้นชูวิทย์ได้อธิบายตอนย่อยของการเปิดข้อมูลชุด ‘แฉเพื่อชาติ’ ประกอบด้วยคำว่า ‘ปั่น’ ในที่นี้คือการปั่นมูลค่าที่ดิน, ‘บวม’ ในที่นี้คือการบวมเงินและการตัดตอน
ชูวิทย์กล่าวว่า ที่ดินบนถนนทองหล่อที่ปัจจุบันถูกนำมาสร้างเป็นคอนโดมิเนียมแต่เดิมเป็นที่ดินเปล่า แบ่งย่อยเป็น 10 โฉนด โดย 9 โฉนดถูกสร้างเป็นคอนโดเรียบร้อย อีก 1 โฉนดยังไม่ได้ปลูกสร้างสิ่งใด
แต่แรกที่ดินผืนนี้ถือครองโดยบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด มีผู้ถือหุ้น 4 คน คนละ 25% ประกอบด้วย นเรนท์, มควินดารกอร์, สมชาย และ นิลิณี มีทุนจดทะเบียนบริษัท 100 ล้านบาท ที่ดินนี้ถูกนำไปจดจำนองกับธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยอดเงิน 465 ล้านบาท
ชูวิทย์กล่าวต่อว่า ต่อมาบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ถูกซื้อหุ้นเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองเป็น 3 คน ประกอบด้วย พินิช ถือหุ้น 99.99%, สมศักดิ์ ถือหุ้น 0.0001% และ พีระพงษ์ ถือหุ้น 0.0001%
บุคคลทั้งสามนี้ ชูวิทย์ระบุว่ารับหน้าที่เป็นนอมินี เนื่องจากทั้งสามบุคคลดูไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถมีหลักทรัพย์ซื้อบริษัทที่มีอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงหลักร้อยล้านบาทได้
โดยชูวิทย์เปิดข้อมูลของพินิช ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประกอบการอธิบาย พบว่าบ้านตามบัตรประชาชน พินิชอยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม มีการเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ประกอบอาชีพเป็นแม่บ้าน ไม่พบข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ส่วนสมศักดิ์และพีระพงษ์มีอาชีพเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยสังกัดบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
ชูวิทย์กล่าวว่า พินิช สมศักดิ์ และพีระพงษ์ ได้ไปขอกู้ยืมเงินจำนวน 1 พันล้านบาทจากบริษัท อาณาวรรธน์ จำกัด ที่ปรากฏชื่อเศรษฐาเป็นหนึ่งในกรรมการ เพื่อซื้อบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด เจ้าของที่ดิน
ทั้งนี้ บริษัท อาณาวรรธน์ จำกัด เป็นบริษัทลูกของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เพราะบริษัทแสนสิริถือหุ้นอยู่ 99.998%
ชูวิทย์กล่าวต่อว่า การกู้เงินเพื่อมาซื้อที่ดินบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด บนถนนทองหล่อความจริงมีมูลค่าเพียง 565 ล้านบาท การกู้เงินยอด 1 พันล้านบาทมา เงินที่เหลืออีก 435 ล้านบาทไปตกหล่นอยู่ไหน เป็นเงินทอนเข้ากระเป๋าใครหรือไม่
ระหว่างการแถลงข่าวชูวิทย์ได้เปิดเอกสารข้อมูลของบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ประกอบ พร้อมสัญญาต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนองที่ดินกับธนาคาร
ชูวิทย์กล่าวว่า เฉพาะวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 มีการทำ 3 นิติกรรม คือเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด, กู้เงิน 1 พันล้านบาทจากบริษัท อาณาวรรธน์ จำกัด และการปลดจำนองหนี้กับธนาคาร 465 ล้านบาท
ชูวิทย์กล่าวต่อว่า การที่บริษัทแสนสิริไม่ซื้อที่ดินโดยตรงและให้บริษัทลูกไปจ่ายเงินให้นอมินีและให้นอมินีมาซื้อที่ดิน สุดท้ายเหลือเงินทอน 435 ล้านบาท นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ตนขอตั้งคำถามว่า 435 ล้านบาทนั้นหายไปไหน คุณจะบอกว่าคุณไม่รู้เรื่องไม่ได้เพราะคุณให้บริษัทนี้กู้ไป 1 พันล้านบาท สิ่งที่ทำถือว่าคุณมีพฤติการณ์โกงผู้ถือหุ้น
จากนั้นเมื่อมีการซื้อที่ดินเรียบร้อย ชูวิทย์กล่าวว่า บริษัทแสนสิริได้ไปซื้อที่ดินผืนดังกล่าวจากบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด โดยแบ่งที่ดินเป็น 2 แปลง รวมราคา 900 กว่าล้านบาท โดยให้ถือว่าเป็นการชดใช้หนี้ที่ก่อนหน้านี้บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด กู้ยืมไป 1 พันล้านบาท
ชูวิทย์กล่าวว่า หลังบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ขายที่ดิน 2 แปลงให้บริษัทแสนสิริ ทางบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ได้เปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นอันดับ 1 เป็น ยงยุทธ มีอาชีพเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทเอกชน และจากนั้นบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ก็ไม่มีข้อมูลการยื่นภาษีและส่งงบการเงิน 5 ปี
ชูวิทย์กล่าวว่า พฤติการณ์นี้ถือว่าบริษัทแสนสิริโกงเงินจากประชาชน กระบวนการที่ทำแบบนี้ ตนถอดดีเอ็นเอได้ว่าไม่ได้ทำแบบนี้แค่ครั้งแรก ฉะนั้นเศรษฐาอย่าอ้างว่าไม่รู้เรื่อง หรืออ้างว่าไม่รู้จักบริษัทที่มากู้เงิน 1 พันล้านบาท
“ถ้าอย่างนี้แสดงว่าถ้าเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี หมายความว่าใครก็ตามสามารถมากู้เงินจากเศรษฐาได้” ชูวิทย์กล่าว
โดยข้อมูลดังกล่าว ชูวิทย์จะส่งมอบให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ถ้าหลัง สว. ได้รับข้อมูลแล้วจะโหวตเศรษฐาให้เป็นนายกฯ ก็ขอให้เป็นเรื่องของ สว.
จากนั้นชูวิทย์ได้ระบุถึงตัวละครที่ใช้ชื่อว่า ขงเบ้ง หรือ มิสเตอร์ที ซึ่งอยู่ข้างกายเศรษฐา เป็นนายทุนเศรษฐา เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง พร้อมอธิบายว่าขงเบ้งเมื่อก่อนทำอสังหาริมทรัพย์ล้มละลายไปตอนวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ชอบไปเมืองนอกซื้อโรงแรม เอามาพัวพันและหายไป ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลได้
ช่วงหนึ่งของการแถลงข่าว ชูวิทย์ได้แสดงท่าทางเลียนแบบ ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่โทรศัพท์หาบุคคลหนึ่ง พร้อมระบุว่าตนให้โอกาสภูมิธรรมติดต่อกับอีกบุคคลหนึ่งว่าเศรษฐาไม่ไหวแล้ว อย่าดึงดันเสนอชื่อเป็นนายกฯ เพราะถ้ายังยืนยันเป็นเศรษฐา ตนจะออกมาเปิดข้อมูลอีก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เศรษฐามีความสัมพันธ์อย่างไรกับหนึ่งในผู้ถือหุ้นบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด อย่างพินิช ชูวิทย์ระบุว่า จากสภาพบ้านและอาชีพของพินิชแล้วไม่น่าจะมีความเชื่อมโยงใกล้ชิด และตอนตนตรวจสอบพบว่าพินิชยังไม่เดินทางออกจากประเทศ
ชูวิทย์กล่าวว่าเศรษฐาไม่มีคุณสมบัติและผลงานเป็นที่ประจักษ์เหมาะจะเป็นนายกฯ ให้ รปภ. แม่บ้านมาเป็นผู้ถือหุ้น กระบวนการเช่นนี้ตนอยากรู้ว่าเศรษฐาจะปฏิเสธอีกหรือไม่
วันนี้ตนขอเตือนเศรษฐาให้ถอยออกมาจากการชิงตำแหน่ง หากขึ้นรถไฟความเร็วสูงก็ต้องตกขบวนเป็นธรรมดา ตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยยังมีผู้มีความรู้ความสามารถอีก ทั้งนี้ ตนยืนยันว่ามีหลักฐานทั้งหมดและพร้อมฉีดยาฆ่ามะเร็งสู้กับเศรษฐาไปจนถึงศาลสูงสุด
ชูวิทย์กล่าวต่อว่า 1-2 วันนี้มีผู้ติดต่อมาให้ตนพยายามหยุดพูดเรื่องเหล่านี้ โดยแลกกับการไม่เปิดเผยเรื่องของตน แต่ตนยืนยันกลับไปว่าตนไม่ได้เป็นนายกฯ จะเปิดเผยก็เปิดเผยไป ตนไม่กลัว การแฉเพื่อชาตินี้จะจบลงทันทีถ้าเศรษฐาไม่ผ่านการโหวตนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ 18 หรือ 22 สิงหาคม ภารกิจของตนถือว่าจบลงโดยทันที
นอกจากนี้ระหว่างการแถลงข่าว ชูวิทย์ได้แสดงคำพิพากษาศาลฎีการะหว่างพนักงานอัยการกับ สนธิ ลิ้มทองกุล มาเป็นตัวอย่าง ซึ่งเป็นคดีที่มีการตัดสินโทษแล้ว ซึ่งชูวิทย์ระบุว่า คดีนี้เกิดจากการทำนิติกรรมที่ดินในลักษณะปลอมแปลงเอกสารการถือหุ้น
ชูวิทย์กล่าวว่า สนธิทำรายงานการประชุมเป็นเท็จไปยื่นทำนิติกรรมกับธนาคาร แต่ไม่ขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น จึงถูกตัดสินโทษ 85 ปี
“ก่อนสนธิจะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นขอให้ช่วยดูแลตัวเองด้วย” ชูวิทย์กล่าว
พร้อมกันนี้ ชูวิทย์ได้ชูแก้วเครื่องดื่มสีเหลืองเขียนข้อความที่แก้วว่า ‘มินต์ฉี่’ เปรียบเทียบกับมินต์ช็อกของพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการแถลงข่าวชูวิทย์ได้มีปากเสียงกับผู้สื่อข่าวจากสื่อผู้จัดการ โดยเป็นการโต้เถียงกันในประเด็นที่สนธิออกมาเปิดเผยข้อมูลของชูวิทย์ และชูวิทย์ต้องการให้ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวสื่อสารกลับไปถึงสนธิ
ในช่วงท้ายการแถลงข่าวชูวิทย์ได้เป่าเค้กร่วมกับสื่อเนื่องในวันคล้ายวันเกิด พร้อมระบุว่า ตนขอร่วมอธิษฐานในวันเกิด ขออวยพรส่งความระลึกถึงประเทศชาติ สังคม ประชาชนคนไทยให้มีสติ
เราต้องช่วยกันปกป้องประเทศนี้
ตนขอขอบคุณที่เป็นห่วง เป็นกำลังใจ ขอขอบคุณที่ทุกคนร่วมอวยพรวันเกิด ตนอยู่ในแสงมา 20 ปีแล้ว ถึงเวลาที่ผ้าม่านจะปิดลง ไฟสปอตไลต์จะดับลง