วันนี้ (2 พฤษภาคม) ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ดินแดง อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการเลือกตั้งกรุงเทพฯ, คณะผู้บริหารพรรค เปิดเวทีปราศรัยช่วย ภาดาท์ วรกานนท์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 6 หาเสียง มีประชาชนมาฟังการปราศรัยประมาณ 1,000 คน
ทั้งนี้ ในเวลา 17.45 น. ระหว่างที่อนุทินกำลังขึ้นปราศรัยอยู่นั้น ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินทางมารณรงค์ต่อต้านนโยบายกัญชาเสรี โดยได้ปีนขึ้นรถและพยายามตะโกนผ่านโทรโข่งบอกประชาชนที่รับฟังการปราศรัยว่าสิ่งที่อนุทินพูดนั้นเป็นการโกหก พร้อมกับโจมตีนโยบายกัญชาเสรีว่าเป็นการมอมเมาประชาชน
จากนั้นชูวิทย์พยายามเข้าไปยังสถานที่จัดปราศรัย ปรากฏว่ามีทีมงานของพรรคภูมิใจไทยและประชาชนที่มาฟังการปราศรัยได้เข้ามาสกัด ตะโกนคัดค้านการโจมตีครั้งนี้ของชูวิทย์เช่นเดียวกัน พร้อมไล่ให้ออกจากพื้นที่ และส่งเสียงเชียร์นโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทย ทำให้ช่วงหนึ่งมีการปะทะและยื้อแย่งกันของทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนที่ตำรวจ สน.ดินแดง จะเข้าห้ามและพาตัวชูวิทย์ถอยออกมา
จากนั้นชูวิทย์ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว พร้อมตะโกนเรียกอนุทินให้ออกมา และนำกับดักหนูมาโชว์ โดยชูวิทย์ยืนยันว่าในการมาวันนี้มีเจตนาที่จะมาป่วนการปราศรัยของพรรคภูมิใจไทย เพราะพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตบ้านของตน ซึ่งตนเองอยู่ในเขตดินแดงมากว่า 20 ปี อีกทั้งป้ายหน้าโรงพักก็มีชื่อของตนที่ทำงานมากกว่า 30 ปี ดังนั้นกลุ่มพวกนี้เพิ่งเคยมาแล้วอยากได้ ส.ส. ในกรุงเทพฯ ส่วนที่อยากได้ก็เพื่อมาโปรโมตกัญชา เป็นผู้นำเข้ามา แต่กลับโทษว่าสภาไม่ผ่านกฎหมายให้ ซึ่งชูวิทย์กล่าวว่าถ้าสภาไม่ผ่านกฎหมายให้แล้วจะนำกัญชาออกมาเพื่ออะไร
ด้านอนุทินขึ้นปราศรัยใช้เวลาไปประมาณ 30 นาที ซึ่งตลอดการปราศรัยได้หันไปมองชูวิทย์เป็นระยะ พร้อมแซวประชาชนว่าทำไมหันหน้าไปทางโน้น ไม่ฟังตนเลย แต่อย่าสนใจเลย ที่นี่บ้านของทุกคน เขตดินแดง จึงขอให้ปรบมือต้อนรับผู้มาเยือน ต่างคนต่างมาดี นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชน ส่วนใครจะถูกหรือผิดประชาชนตัดสินใจเอง พร้อมย้ำว่าพรรคภูมิใจไทยต้องนิ่ง เราโฆษณาเสมอว่าไม่นิยมความขัดแย้ง ไม่ชอบทะเลาะกับใคร ไม่นิยมความรุนแรง เพราะฉะนั้นวันนี้ตนก็ต้องพูดเฉพาะนโยบายที่จะเป็นประโยชน์กับชาวดินแดงเท่านั้น
พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าไม่เคยให้กัญชาเสรี เราทำจากกัญชาทางการแพทย์เพื่อสุขภาพของประชาชน และให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชน เพื่อสร้างเศรษฐกิจเท่านั้น นอกจากนั้นผิดกฎหมายหมด ใครที่มาว่าไม่ต้องไปฟัง ขอให้ฟังคนทำงาน ทำมา 6 ปีแล้ว ทุกสิ่งมีสติ นิ่งสยบความเคลื่อนไหว นอกจากนี้เราต้องมีอุเบกขา (วางใจเป็นกลาง)
อย่างไรก็ตาม หลังเสร็จสิ้นการปราศรัยอนุทินและแกนนำพรรคเดินทางออกจากสถานที่จัดงานในบริเวณด้านหลัง พร้อมบอกเหตุผลกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะเสียงของเวทีปราศรัยดังกว่า และประชาชนก็ต้องการฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราเป็นพรรคการเมือง เวลามาพูดก็พูดถึงประโยชน์ของประชาชน และไม่รู้สึกเสียสมาธิ เพราะตนพูดนโยบายได้ครบทุกประเด็น แม้กระทั่งเรื่องกัญชา ซึ่งยืนยันว่าจะดำเนินการต่อไป
อนุทินยังกล่าวถึงการบุกป่วนงานปราศรัยของพรรคภูมิใจไทยในอนาคตอีกว่า ไม่เป็นไร ยินดี ตนยิ่งดังใหญ่มีคนมาโปรโมตให้ เอาไว้ละครปิดฉากทุกอย่างจบลงเดี๋ยวก็ได้คุยกันอีก ตนกับชูวิทย์รู้จักกันเป็น 10 ปี ไม่ใช่รู้จักแค่เฉพาะพ่อ ลูกก็รู้จัก ลูกเขาก็มาอยู่บ้านตนที่ต่างประเทศก็รักเขาเหมือนลูก โดยเฉพาะลูกสาวเขาที่เป็นเพื่อนกับลูกสาวลูกชายตน นี่คือบทบาท เป็นละครที่ชูวิทย์ต้องแสดงด้วยวัตถุประสงค์ใดเราก็ต้องเคารพ เพราะคนเราถ้าไม่มีวัตถุประสงค์คงไม่มาแสดงกิริยาแบบนี้ แต่ไม่เป็นไรพื้นฐานจริงๆ เราก็รัก ถ้าเขาเป็นอะไรไปตนก็เสียใจ เรามีความผูกพัน ใครที่อยู่ข้างหลังเขาก็คงไม่มีความปรารถนาดีต่อพรรคภูมิใจไทย ก็ปล่อยไป สิ่งที่จะพิสูจน์คือการเลือกตั้ง
“เมื่อสักครู่ก็ได้ทักทายกันแล้ว ยกมือไหว้กันแล้ว เผชิญหน้าแบบนี้ไม่ได้หรอกต่อหน้ากล้องเยอะๆ เดี๋ยวก็แอ็กอาร์ตกันอีก เดี๋ยววันไหนจะเอาแชตหวานแหววที่เราทั้ง 2 คนคุยมาส่งให้ดู แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ก็ถือว่าไม่เอาเปรียบกัน เราเข้าใจบทบาทของเขา เพราะชีวิตของตนผ่านอะไรมามาก จึงชินกับเรื่องแบบนี้ วันนี้ทุกคนต้องแข่งขันเพื่อให้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมาย ถือเป็นเรื่องปกติ ตนเชื่อว่ามีคนอยู่เบื้องหลังชูวิทย์ ก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ที่มีความรักความผูกพันกับตนเป็นอันมาก ไม่มีใครแยกตรงนี้ได้ แต่ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างคือละคร” อนุทินกล่าวในที่สุด