ที่ดินขนาด 6 ไร่ตั้งอยู่ปากซอยสุขุมวิท 10 มูลค่าเมื่อประมาณจากทำเลที่ตั้งอาจสูงถึงหลายพันล้านบาท เรื่องราวทั้งหมดเริ่มจากข้อพิพาทคดีรื้อบาร์เบียร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2546 คดีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเจ้าของสวน ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง และเพื่อคืนกำไรให้กับสังคมเขาจึงตั้งใจมอบสวนนี้ให้เป็นสวนสาธารณะ ทำหน้าที่ปอดของกรุงเทพฯ อีกแห่ง
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ชูวิทย์จัดแถลงข่าวครั้งแรกเพื่อแสดงความตั้งใจว่าไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนดังกล่าว และจะนำที่ดินคืนสาธารณะให้สังคม ในวันนั้นกล่าวว่า “สวนนี้ชื่อว่าสวนชูวิทย์ แต่ความจริงแล้วอยากเรียกว่าสวนสะใจมากกว่า ผมเป็นคนพูดแล้วทำจริงไม่ใช่พวกปากพล่อย วันๆ เอาแต่ออกมาแถลงข่าวเรื่องหอยเรื่องปู ผมอยากเชิญชวนให้คนรวยเจ้าของที่ดินใน กทม. ได้นำมาใช้ประโยชน์ ไม่ได้ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้”
ต่อมาในปีเดียวกัน วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ชูวิทย์แถลงข่าวเปิดตัวสวนชูวิทย์และกล่าวในวันนั้นว่า “ผมเคยบอกว่าจะสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของ กทม. และต้องการให้เป็นตัวอย่างกับคนที่มีเงินเป็นแสนๆ ล้านบาทว่าตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เหรียญบาทเงินปากผี สัปเหร่อยังเอาไปเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยวางแผนไว้ว่าจะใช้พื้นที่นี้สร้างโรงแรมระดับ 4 ดาว และได้จ่ายค่าออกแบบไปแล้ว 30 ล้านบาท แต่ก็ยกเลิกโครงการดังกล่าวไป”
จากนั้นผ่านไป 13 ปี วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561 กลุ่มบริษัทตัวแทน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ประกาศเตรียมเซ็นสัญญาการเช่าสวนดังกล่าว มีระยะเวลาเช่า 30 ปี โดยบริษัทจะพัฒนาโครงการที่ดินดังกล่าว ประกอบด้วยอาคารสำนักงานให้เช่า, โรงแรมจำนวน 400 ห้อง และพื้นที่ค้าปลีก รวมงบลงทุน 6 พันล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างช่วงต้นปี พ.ศ. 2562
ปัจจุบัน พ.ศ. 2565 มีข้อมูลว่าบริเวณพื้นที่ดังกล่าวกำลังจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรื้อถอนและปรับปรุงพื้นที่เพื่อก่อสร้างโครงการหนึ่ง จะประกอบไปด้วยอาคารสำนักงาน โรงแรม และร้านค้า
ทั้งนี้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2538 (ฉบับย่อย) ระบุว่า
การอุทิศที่ดินให้ใช้เป็นสาธารณะ เป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304 ไม่ต้องจดทะเบียนการให้ต่อเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 525 ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย