วันนี้ (20 พฤศจิกายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะกลับประเทศไทยในช่วงสงกรานต์ปี 2568 โดยระบุว่า เรียนตามตรง ตนไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร เป็นกระบวนการของยิ่งลักษณ์ เพราะท่านคงไม่มาระบุบอกเราหรือบอกใคร แต่รับรู้ รับทราบ ส่วนจะจริงหรือไม่ ตนเองไม่รู้รายละเอียดเลย พูดไปก็เป็นการเดามากกว่า เลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีแนวโน้มที่ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม จะเสร็จก่อนยิ่งลักษณ์เดินทางกลับมาหรือไม่ ชูศักดิ์กล่าวว่า ยังไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้เมื่อไร จริงๆ เปิดสมัยประชุมมา กฎหมายนี้ก็อยู่ในวาระที่จะถึง แต่ความเห็นของตนคิดว่ากฎหมายนี้คงไม่ได้เสร็จง่ายๆ เท่าที่เห็นและเท่าที่ศึกษาก็เถียงกันมากมายกว่าจะลงเอยอย่างโน้นอย่างนี้ ฉะนั้นตอบไม่ได้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะก่อนหรือหลัง ที่สำคัญตนไม่ทราบรายละเอียดว่ายิ่งลักษณ์จะกลับมาอย่างไร เพราะไม่ได้คุยอะไรกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อกลับมาต้องรับโทษตามปกติหรือไม่ ชูศักดิ์กล่าวว่า “ก็นี่ไง ท้ายสุดก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะกระบวนการก็มีอยู่ว่าจะต้องทำอย่างไร ซึ่งเราไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างไร จะกลับอย่างไร”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ถ้าดูในเชิงกฎหมาย ดูเหมือนกรณียิ่งลักษณ์จะยากกว่ากรณีทักษิณ ชูศักดิ์กล่าวย้ำว่า ตอบไม่ได้ว่าท้ายที่สุดจะทำอย่างไร จะมีกระบวนการอย่างไร ถ้าสื่อจะถามว่ายากหรือง่าย ตอบไม่ได้จริงๆ ต้องรู้เสียก่อนว่ากระบวนการทำอย่างไร
ทักษิณถือสัญชาติไทย ช่วยหาเสียงได้
ชูศักดิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องการถือสัญชาติไทยและมอนเตเนโกรของทักษิณ ทำให้ไม่สามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ได้ว่า ตนไม่ทราบ แต่ที่รู้แน่ๆ คือทักษิณมีสัญชาติไทยแน่นอน โดยหลักสืบสายโลหิตบิดามารดา เพราะฉะนั้นเป็นคนไทย มีสัญชาติไทยแน่นอน
ส่วนจะมีสัญชาติอื่นอย่างไร ตนไม่ทราบรายละเอียด แต่ไม่ได้มีข้อห้ามอะไร ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในหลายๆ ประเทศที่ไม่มีข้อห้ามเรื่องพวกนี้ แต่ขณะนี้ก็ชัดเจนที่สุดว่าท่านเป็นคนไทย เป็นคนที่ถือสัญชาติไทย เกิดในประเทศไทย บิดามารดาเป็นคนไทย แล้วจะเอาสัญชาติอะไรอีก และตามข้อกฎหมายตนคิดว่าไม่มีปัญหา ลองไปเปิดดูกฎหมายไทยว่ามีข้อห้ามอะไรหรือไม่ คำตอบอยู่ในกลุ่มร้อยกว่าประเทศที่ไม่มีข้อห้ามอะไรเลย
เชื่อ 6 คำร้องยุบพรรคไม่เข้าเกณฑ์ล้มล้างการปกครอง
ชูศักดิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องของ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทักษิณและพรรคเพื่อไทยยุติการกระทำที่เข้าข่ายการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ว่า เป็นดุลพินิจของศาลว่าจะเห็นอย่างไร แต่เราสู้ไปว่าไม่เข้าเกณฑ์ล้มล้างการปกครอง ต้องไปดูรายละเอียดกัน แสดงความเห็นเรื่องนั้นเรื่องนี้จะเป็นการล้มล้างการปกครองไปได้อย่างไร
“พวกเราทราบดีว่าการล้มล้างการปกครองต้องเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่นี่มันตรงกันข้าม เช่น คุยกันว่าจะตั้งรัฐบาล มันจะไปล้มล้างการปกครองตรงไหน ตนคิดว่ามันไม่เข้าเกณฑ์ เราก็สู้ไปว่าไม่เข้าเกณฑ์ และทราบจากข่าวว่าทางอัยการสูงสุดมีความเห็นว่าไม่เข้าเกณฑ์ แต่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้หรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล ผมไม่ก้าวล่วง”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การที่อัยการสูงสุดมีความเห็นแบบนี้ ทำให้พรรคเพื่อไทยใจชื้นหรือไม่ ชูศักดิ์กล่าวว่า จริงๆ รู้อยู่แล้วว่าข้อกฎหมายมันไปไม่ได้ เรารู้ตั้งแต่ต้นแล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องจะฟ้องกลับธีรยุทธหรือไม่ ชูศักดิ์กล่าวว่า อันนั้นต้องว่ากันอีกทีว่าศาลไม่รับคำร้องเพราะอะไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า มีโอกาสฟ้องกลับหรือไม่ เพื่อเป็นการห้ามปรามไม่ให้ฟ้องร้องอะไรที่ไม่มีมูลอีก ชูศักดิ์กล่าวว่า ส่วนตัวตนไม่อยากมีอะไรที่เรียกว่านิติสงคราม ฟ้องกันไปฟ้องกันมา ใจจริงอยากให้ประเทศเดินหน้า ไม่อยากเอาเรื่องที่ไม่มีสาระอะไร แต่หลายคนในพรรคก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเราจะหยุดขบวนการนี้อย่างไร ซึ่งก็ว่ากันไป
