วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนา From Headlines to Sexual Consent Culture: สื่อมวลชนจะร่วมสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอมทางเพศได้อย่างไร
การเสวนาจัดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางร่วมสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอมทางเพศแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเด็นการสื่อสารด้วยความยินยอมทางเพศ สิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมทางเพศ ภายใต้ความร่วมมือกับ UNESCO และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
วิทยากรร่วมเสวนา ได้แก่ นัยนา สุภาพึ่ง มูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ ดร.ชเนตตี ทินนาม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ดร.โกสุม โอมพรนุวัฒน์ วิทยาลัยสหวิทยาการ ธรรมศาสตร์ อ.พิมพ์พจี เย็นอุรา คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ธรรมศาสตร์ ธารารัตน์ ปัญญา ทนายความและผู้ก่อตั้ง Feminist Legal Support (FLS) ดลยณา บุนนาค ผู้ประกาศข่าว Thai PBS World และพีร์ญาดา ประสูตร์แสงจันทร์ นักข่าวจากโพสต์ทูเดย์
ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สื่อไทยไม่เคยมีส่วนร่วมอย่างชัดเจนในการทำความเข้าใจเรื่องการยินยอมทางเพศในกระแสหลัก การรายงานข่าวส่วนใหญ่ใช้การกล่าวโทษเหยื่อที่เป็นผู้เสียหาย การตั้งข้อสันนิษฐานในรายงานข่าวส่วนใหญ่ ว่าเหยื่อเป็นผู้หญิงที่สมยอม การที่ผู้เสียหายบางคนเคยมีความสัมพันธ์ฉันท์คนรักกับผู้ชายมาก่อนทำให้การนำเสนอข่าวมีน้ำหนักไปที่การกล่าวโทษเหยื่อ การละเลยที่จะรับรู้ว่าการยินยอมหรือไม่ยินยอมในเรื่องเพศเป็นกระบวนการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การยุติหรือรักษาความสัมพันธ์ทางเพศไว้ได้ตลอดเวลา
“หลักสูตรการฝึกอบรมสื่อมวลชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารด้วยความยินยอมทางเพศมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอมทางเพศ ถือเป็นความท้าทายที่จะเปลี่ยนมุมมองของสื่อมวลชนที่มี ต่อเรื่องเพศ ในบริบทของการสื่อสาร “จากหัวใจสู่หัวใจ” หมายถึงการใส่ใจและคำนึงถึงความต้องการของผู้อื่น โดยอาศัยหลักการของความเท่าเทียมกันของอำนาจระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เพื่อสนับสนุนให้สื่อมวลชนสามารถสร้างการยินยอมทางเพศให้เป็นค่านิยมใหม่ของสังคมในประเทศไทย” ดร.ชเนตตี กล่าว อีกทั้งยังพูดถึงประเด็นด้าน Sexual Consent ว่า ความยินยอมคือการสื่อสารกันอย่างเท่าเทียมหรือ Gender Equality
Sexual consent ไม่ใช่แค่ประเด็นกฎหมาย แต่เป็นเรื่องคุณภาพชีวิต สุขภาวะทางกายและใจ ความสัมพันธ์ และการเคารพความเป็นมนุษย์ สังคมที่ตระหนักเรื่อง sexual consent คือสังคมที่เคารพความเป็นมนุษย์โดยแท้จริง

ทางด้าน ดร.โกสุม โอมพรนุวัฒน์ ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาสตรี เพศสถานะ และเพศวิถีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการสร้าง “วัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอม” (Consent Communication Culture) ในสังคมไทย โดยเฉพาะในองค์กรสื่อ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกรอบการรับรู้เรื่องเพศ อำนาจ และความรุนแรงทางเพศ ดร.โกสุมกล่าวว่า “ความยินยอม” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเพศสัมพันธ์ แต่คือรากฐานของความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมในทุกมิติของชีวิต เพื่อการอยู่ร่วมกันบนฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน เป็นการเปลี่ยนผ่านจาก “วัฒนธรรมแห่งการควบคุม” ไปสู่ “วัฒนธรรมแห่งการเคารพและการฟัง”
ในเวทีเสวนา ดร.โกสุม ได้มีการยกกรณีศึกษาจากต่างประเทศ เช่น องค์กรสื่อสาธารณะ National Public Radio (NPR) ของสหรัฐอเมริกา ที่นำแนวคิด workplace consent มาปรับใช้หลังเกิดเหตุอื้อฉาวทางเพศภายในองค์กร ซึ่งนำไปสู่การสร้างระบบร้องเรียนที่ปลอดภัย การอบรมพนักงานเรื่องความยินยอม และการส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารอย่างเปิดเผย ดร.โกสุม เสนอว่า แนวทางเช่นนี้ควรถูกนำมาปรับใช้กับบริบทไทย เพื่อให้สื่อมวลชนไม่เพียงเป็นผู้รายงานข่าว แต่ยังเป็น “ผู้สร้างวัฒนธรรมแห่งความยินยอม” ที่ส่งเสริมการเคารพศักดิ์ศรีของผู้คนในทุกมิติของการสื่อสาร
“วัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอม” จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือป้องกันการล่วงละเมิด แต่คือกรอบคิดใหม่ของการทำงานสื่อและสังคม ที่ยอมรับว่า ทุกเสียงมีคุณค่าเท่ากัน และการฟังกันด้วยความเคารพคือพื้นฐานของการ อยู่ร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรีและความรับผิดชอบต่อกันในสังคมร่วมสมัย ดร.โกสุมกล่าวทิ้งท้าย
ด้านธารารัตน์ ปัญญา ทนายความและผู้ก่อตั้ง Feminist Legal Support กล่าวว่าจากประสบการณ์การทำงานให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีความรุนแรงทางเพศ หนึ่งในความท้าทายสำคัญคือความเข้าใจเรื่อง ‘ความยินยอม’ ที่ยังคลาดเคลื่อนในสังคม รวมถึงในกระบวนการยุติธรรมเอง หลายครั้งคนจำนวนมาก รวมถึงเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมเองมองไม่เห็นอำนาจที่ไม่เท่าเทียมในสถานการณ์ความรุนแรง ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจ เพราะการนำเสนอข่าวที่โทษผู้เสียหายหรือมองปัญหาแบบผิวเผิน ยิ่งทำให้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความยินยอมและความรุนแรงทางเพศฝังรากลึกในสังคม พร้อมยกตัวอย่างกฎหมายของฝรั่งเศสที่ให้นิยามความยินยอมต้องเป็นอิสระ และได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน เฉพาะเจาะจง ล่วงหน้า และยกเลิกได้ ซึ่งอาจเป็นแบบอย่างให้ประเทศอื่นว่าเราควรพิจารณาองค์ประกอบอะไรบ้าง เพื่อเขียนนิยาม Consent ไว้ในกฎหมาย

ด้านนัยนา สุภาพึ่ง จากมูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นักกฎหมายผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ กล่าวว่า หลายคนออกมาจากความรุนแรงไม่ได้เพราะเราคือส่วนหนึ่งของการยินยอมนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจในรูปแบบต่างๆ เช่น ครอบครัว สามี-ภรรยา เจ้านาย-ลูกน้อง อาจารย์-ลูกศิษย์ เป็นต้น ดังนั้นการสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้เรื่องความยินยอมให้เป็นวัฒนธรรมในการพูดคุยและยอมรับได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศ อีกทั้งความรุนแรงทางเพศในครอบครัวเป็น ‘พื้นที่มืด’ ที่สังคมมองไม่เห็น ปัญหาความรุนแรงทางเพศจำนวนมากเกิดใน “ครอบครัว” แต่สังคมและคนรอบตัวมักให้คุณค่ากับ “รักษาครอบครัวไว้” มากกว่าความปลอดภัยของเหยื่อ ส่งผลให้ผู้เสียหายต้องทนอยู่ในสถานการณ์รุนแรง ดังนั้นการเปลี่ยนวัฒนธรรมสำคัญกว่าการแก้กฎหมายอย่างเดียว ต้องสื่อสารเรื่องเพศบนความเท่าเทียม ต้องเลิกโทษเหยื่อ และต้องให้สังคมเข้าใจว่า sexual consent คือเรื่องสิทธิ ความปลอดภัย สุขภาวะ และความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่คดีอาญา

ด้าน ดลยณา บุนนาค ผู้ประกาศข่าส Thai PBS World และพีร์ญาดา ประสูตร์แสงจันทร์ นักข่าวจากโพสต์ทูเดย์ ซึ่งเป็นสองผู้เข้าร่วมกิจกรรม “หลักสูตรการฝึกอบรมสื่อมวลชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารด้วยความยินยอมทางเพศ” (Workshop for the Media to Promote a Culture of Sexual Consent Communications) กล่าวว่าหนึ่งในบทเรียนสำคัญจากโครงการอบรมครั้งนี้ คือแนวคิดเรื่อง Deep Listening หรือการฟังเชิงลึก ซึ่งหมายถึงการฟังโดย “ละตัวตนของผู้สื่อข่าวออกไป” อยู่กับประสบการณ์ของผู้เสียหายโดยไม่ด่วนตัดสิน ไม่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพียงดราม่าส่วนตัว หากแต่ทำหน้าที่ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างและสภาพจิตใจของผู้เสียหายที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นั้นไปพร้อมกัน
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวยังมีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้เรื่อง “ความยินยอมทางเพศ” ผ่านการนำเสนอข่าวความรุนแรงทางเพศอย่างรอบด้านและรับผิดชอบ เพื่อช่วยให้สังคมเข้าใจประเด็นนี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงรายงานเหตุการณ์แล้วปล่อยให้เรื่องราวจบลงไปตามกระแสข่าวเท่านั้น



