ราคาเนยในยุโรปพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 83% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สะเทือนผู้ผลิตเบเกอรีที่อาจต้องแบกรับต้นทุนในช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีนี้ ขณะที่กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดว่าราคาเนยสูงอาจปรับตัวสูงขึ้นยาวไปจนถึงปีหน้า
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ราคาเนยพุ่งสูงขึ้นในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั่วทั้งยุโรป ถือเป็นข่าวร้ายก่อนเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาสสำหรับวงการเบเกอรี โดยเฉพาะผู้ผลิตขนมปังและขนมอบทั่วโลก หลังเผชิญกับต้นทุนช็อกโกแลตและน้ำตาลที่สูงขึ้นอยู่แล้ว
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ปัจจัยหลักๆ มาจากความต้องการเนยที่มีสต็อกที่จำกัด และผู้แปรรูปผลิตภัณฑ์นมหันไปใช้ผลิตภัณฑ์นมมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรได้มากกว่า เช่น ชีส จึงทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น
ข้อมูลทางการล่าสุดของคณะกรรมาธิการยุโรประบุว่า ตลาดเนยยุโรปซื้อขายในตลาดโลกที่ระดับสูงสุดที่ 8,706 ดอลลาร์ต่อเมตริกตัน (ณ วันที่ 29 กันยายน) ปีนี้ถือว่าเพิ่มขึ้นสูงถึง 83% (YoY) เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นับเป็นตัวเลขที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ราคาเนยในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วเช่นกัน แต่หลุดจากระดับสูงสุดไปแล้วในช่วงฤดูร้อน
ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทอาหารขนาดใหญ่จะเตรียมพร้อมรับมือราคาเนยไว้แล้วก่อนจะเริ่มผลิตเค้กและไอศกรีมก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลคริสต์มาส แต่ผลกระทบที่รุนแรงจะไปอยู่ที่ผู้ประกอบการรายเล็ก เนื่องจากราคาจะสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Paul Boivin ผู้อำนวยการสหพันธ์ผู้ผลิตขนมปังและขนมอบของฝรั่งเศส (FEB) กล่าวว่า ปริมาณผลผลิตนมในตลาดโลกลดลงตั้งแต่ปีที่แล้วทั้งจากยุโรป สหรัฐอเมริกา และนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกนมและเนยรายใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจัยหลักเนื่องจากราคาที่ต่ำและต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูง ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจำนวนมากยุติกิจการ
Michael Harvey นักวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์นมของ Rabobank กล่าวว่า ผลผลิตนมทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 2024 แต่ยังคงตึงตัวเมื่อเทียบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ผลิตหันมาเน้นการจัดสรรนมให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีการแข่งขันสูงที่สุด เช่น ชีส แทนเนย
ข้อมูลล่าสุดของสหภาพยุโรประบุว่าผลผลิตนมของสหภาพยุโรปเติบโต 0.7% ระหว่างเดือนมกราคม 2023 ถึงเดือนกรกฎาคม 2024 ในช่วงเวลาเดียวกัน ผลผลิตเนยลดลง 1.6% โดยสต็อกอยู่ที่ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่ผลผลิตชีสเพิ่มขึ้น 3.2%
ขณะที่กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (United States Department of Agriculture: USDA) ระบุว่า คาดการณ์ราคาเนยในสหรัฐฯ ในปี 2024 เพิ่มเป็น 3 ดอลลาร์ต่อปอนด์ เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน เนื่องจากวัวมีจำนวนน้อยลงและวัวแต่ละตัวผลิตนมได้น้อยลง
USDA กล่าวอีกว่า “คาดว่าอุปทานนมที่ตึงตัวและความต้องการที่มั่นคงจะส่งผลให้ราคาเนยสูงขึ้นไปจนถึงปี 2025”
ส่วนรายได้ในตลาดเนยทั่วโลกคาดว่าจะสูงถึง 42 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เพิ่มขึ้นมากกว่า 8% จากปี 2022 และคาดว่าตลาดจะเติบโตขึ้นปีละ 7% ภายในปี 2029 ตามข้อมูลของ Statista
นอกจากนี้อีกปัจจัยที่ทำให้ราคาเนยในยุโรปสูงยังมาจากความกังวลว่าปริมาณน้ำนมจะลดลงอีก เนื่องจากโรคต่างๆ แพร่ระบาดในโคนมในยุโรปตะวันตก เช่น โรคลิ้นน้ำเงินและโรคเลือดออกในสัตว์ (Epizootic Hemorrhagic Disease: EHD) นักวิเคราะห์กล่าว
อ้างอิง: