วันนี้ (2 มกราคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการประเมินสถานการณ์การเมืองในปี 2568 และการแก้กฎหมาย โดยระบุว่า ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ประสานไปยังพรรคร่วมรัฐบาลแล้วว่าให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจว่าจะเสนอหรือไม่ อย่างไร ก็ค่อยว่ากันไป
ขณะที่กฎหมายนิรโทษกรรมคดีการเมืองนั้น ชูศักดิ์คาดว่าน่าจะถึงคิวเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรช่วงปลายสมัยประชุมนี้ ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะเสนอประกบกันหรือไม่ แต่พรรคเพื่อไทยเองร่างกฎหมายเสร็จแล้วและกำลังรอดูสถานการณ์ว่าช่วงเวลาไหนที่เหมาะสม
สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ว่าด้วยเงื่อนไขการจัดทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ชูศักดิ์กล่าวว่า วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา จะใช้อำนาจสั่งบรรจุร่างแก้ไขมาตรา 256 ที่เสนอโดยพรรคประชาชน จากเดิมที่จะไม่บรรจุ เพราะเกรงจะขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ความเห็นของฝ่ายกฎหมายของประธานสภาเปลี่ยนแปลงไป และประสานไปยังแต่ละพรรคการเมืองว่าจะเสนอร่างประกบด้วยหรือไม่ ในส่วนพรรคเพื่อไทยก็เคยเสนอไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้บรรจุ ซึ่งพรรคจะประชุมกันในวันที่ 7 มกราคมนี้ว่าจะเสนอร่างที่มีอยู่แล้วหรือไม่
ชูศักดิ์กล่าวว่า สาระสำคัญของร่างพรรคเพื่อไทยในการแก้มาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 200 คนแบ่งตามจังหวัดและจำนวนประชากร
ส่วนกระแสทักท้วงว่า หากไม่ทำประชามติ 3 ครั้งจะผิดกฎหมาย ชูศักดิ์กล่าวว่า ยังมีความเห็นแตกต่างกันอยู่ แต่ถ้าบรรจุไปแล้วมีคนขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ถือเป็นเรื่องดี จะได้วินิจฉัยไปเลยว่าสรุปแล้วจะเป็น 2 หรือ 3 ครั้ง ทั้งนี้หากทำประชามติ 2 ครั้ง มีโอกาสที่การแก้รัฐธรรมนูญจะเสร็จทันรัฐบาลนี้ เพราะจะย่นเวลาจากที่รอ 180 วัน
ขณะที่กรณี นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ระบุว่า การแก้ไขมาตรา 256 เลย โดยไม่ทำประชามติก่อน เสี่ยงจะถูกร้องกฎหมายอาญา มาตรา 157 ชูศักดิ์กล่าวว่า เราทำตามอำนาจหน้าที่ของสภา ไม่ต้องวิตกกังวล ที่ผ่านมาเราคิดเรื่องนี้กันมาก แต่ลืมไปว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของสภา เราก็ทำโดยสุจริต ไม่ต้องกลัวอะไร ใครจะร้องก็ว่ากันไป