วันนี้ (18 มีนาคม) ที่รัฐสภา ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส. สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิปพรรคร่วมรัฐบาล) กล่าวถึงความพร้อมในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ในวาระ 2-3 ในวันที่ 20-22 มีนาคมนี้ว่า เป็นการทำงานรูทีนตามปกติ โดยในวันนี้ในวิปรัฐบาลจะมีการพูดคุยถึงกรอบระยะเวลาว่า แต่ละพรรคจะรับเวลาไปกี่ชั่วโมงในการอภิปราย
ส่วนของพรรคเพื่อไทยได้กำหนดบุคคลที่จะแปรญัตติไว้ว่าไม่ควรอภิปรายเกิน 3 หัวข้อ เนื่องจากมีเวลาจำกัด โดยฝ่ายค้านมี 22 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาลและ สส. ฝั่งรัฐบาล 6 ชั่วโมง และประธานสภา 2 ชั่วโมง จึงพยายามบีบเวลาให้เหลือน้อยที่สุด แต่ไม่ได้กลัวอะไร เพราะในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) มีการถกจนสะเด็ดน้ำแล้ว รวมถึงต้องขอชมเชย กมธ. ในปีนี้ ว่าทำงานได้รวดเร็วมาก ลดเวลามาได้ถึงสองสัปดาห์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการพิจารณางบในวาระ 2 และ 3 จะมีการกำชับ สส. ฝั่งรัฐบาลหรือไม่ เนื่องจากมีการลงมติรายมาตรา ครูมานิตย์กล่าวว่า แน่นอน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องงบประมาณ ทุกเรื่องได้กำชับกันมาตลอด เรื่ององค์ประชุมนั้นเป็นเรื่องสำคัญ การเมืองหลังจากนี้ไปหากผู้แทนฝ่ายรัฐบาลไม่อยู่ในห้อง ฝ่ายค้านขอตรวจสอบองค์ประชุมและเกิดองค์ประชุมล่ม ถือเป็นความเสียหายที่ต้องรับผิดชอบ ถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และเป็นความรับผิดชอบอย่างรุนแรงสำหรับผู้เป็นตัวแทนราษฎร
ขณะที่ ชูศักดิ์ ศิรินิล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2-3 เป็นการอภิปรายในประเด็นที่มีการขอแปรญัตติ ขอสงวนคำแปรญัตติว่า มีเหตุผลมากน้อยเพียงใด เท่าที่ตนดูแต่ละมาตราก็มีการเสนอคำแปรญัตติไว้มาก แต่ประเด็นอยู่ที่ยอดงบประมาณที่รัฐบาลตั้งไว้ จะปรับเพิ่มหรือลดให้กระทรวงไหนเท่านั้น
ตั้งรับฝ่ายค้านซักฟอก ปมอาการป่วยทักษิณ
ครูมานิตย์ยังกล่าวถึงการตั้งรับก่อน สส. และ สว. เตรียมจะเปิดอภิปรายทั่วไปฯ อาจจะมีการอภิปรายถึงอาการป่วยของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ไม่ได้ท้าเรื่องนี้ แต่ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง ดูจากหน้างาน วันนี้ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นบุคคลภายนอก หากมีการอภิปรายใส่ร้ายกัน หรือถ้าอภิปรายเป็นเรื่องส่วนตัว เราถือว่าผิดข้อบังคับ ก็ต้องประท้วงกัน ชี้แจงกัน ดีไม่ดีอาจเป็นความผิดที่นำไปสู่การฟ้องร้องกันได้
ครูมานิตย์กล่าวต่อว่า วันนี้ไม่มีการหารือกันในเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นไปตามปกติ เพราะที่ผ่านมาตนเข้าใจว่าสังคมรับทราบ คนที่ไม่ยอมรับทราบคือคนไม่ยอมรับทราบ ตนคิดว่าวันนี้มาไกลไปมากแล้วสำหรับอาการป่วยของทักษิณ เพราะท่านก็ออกมาจากโรงพยาบาลได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว ตอนที่อยู่โรงพยาบาลก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันทุกวัน
ครูมานิตย์กล่าวยืนยันอีกว่าไม่ได้หนักใจอะไร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไปท้าทาย เพราะ สส. โดยเฉพาะ สส. ฝ่ายรัฐบาล ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไปท้าทาย ตนเชื่อว่า รัฐบาลภายใต้ท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน พร้อมที่จะตอบทุกคำถาม ทวี สอดส่อง ซึ่งรับผิดชอบกระทรวงยุติธรรมโดยตรง หลายครั้งก็มาตอบกระทู้สด และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเรื่องนี้ ยืนยันว่าไม่ได้กังวลอะไร
ส่วนจะต้องมีทีมกฎหมายคอยดูเรื่องนี้โดยเฉพาะหรือไม่นั้น เป็นเรื่องปกติ ไม่ถึงกับต้องตั้งวอร์รูม ไม่ต้องตั้งอะไร ชูศักดิ์ก็เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายชั้นยอดของรัฐบาล พวกตนเองอ่อนประสบการณ์ เท่าที่นั่งอยู่ในสภาที่ผ่านประสบการณ์ก็คงจะวินิจฉัย หรือวิเคราะห์ได้ว่า อะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อะไรถูก อะไรไม่ถูก ตนคิดว่าไม่น่าจะหนักใจอะไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการอภิปรายเกินเลยจะต้องมีการฟ้องร้องหรือไม่ ครูมานิตย์กล่าวว่า เป็นเรื่องของคู่กรณี ไม่ใช่พวกตนไปฟ้อง พวกตนมีหน้าที่ลุกขึ้นชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจในเรื่องข้อบังคับและรัฐธรรมนูญ รวมถึงข้อเท็จจริงในบางส่วน เพราะตาของเขากับตาของตนบางทีอาจจะมองกันคนละมุม เหมือนกับเลข 6 และ 9 อะไรทำนองนี้ ก็ต้องชี้แจงกัน ย้ำว่าการฟ้องร้องไม่ใช่หน้าที่ของพวกตน เป็นหน้าที่ของข้างนอก หากเกิดการใส่ร้ายกัน กฎหมายไม่ได้ครอบคลุมไว้ถึงขนาดนั้น ในสภาพวกตนไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการลงพื้นที่ของทักษิณนั้น ครูมานิตย์กล่าวว่ายังไม่สามารถประเมินอะไรได้ ส่วนหนึ่งของคนที่รักทักษิณก็แห่ไปให้กำลังใจกันมากมายทีเดียว ไม่ใช่เฉพาะจังหวัดเชียงใหม่หรือภาคเหนือ แม้แต่คนอีสานเองก็ยังยกขบวนกันไป ตนเชื่อว่าความเป็นห่วงเป็นใยระหว่างทักษิณกับประชาชนที่มีความศรัทธาในตัวทักษิณ
“17 ปีไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าไม่ใช่คนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร พี่น้องประชาชนคนไทยคงลืมไปแล้ว แต่นี่พิสูจน์ให้เห็นว่า 17 ปีมิได้จางหายเลย ฉะนั้นเป็นเรื่องปกติของความศรัทธา แต่เรื่องอย่างอื่นที่เกี่ยวกับกระบวนการทางการเมืองนั้น ผมว่าวันนี้มันยังไกลไป เรื่องความศรัทธา ความรัก ผมเชื่อว่ายังคงมีเต็มเปี่ยมกับคนจำนวนไม่น้อยทีเดียว ที่พิสูจน์ให้เห็นชัดว่า บางคนร้องไห้ บางคนน้ำตาไหล ก็ได้เห็นกัน” ครูมานิตย์กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ยังมีคนตั้งข้อสังเกตว่า อาการของทักษิณหายดีเร็วเกินไปหรือไม่ ครูมานิตย์กล่าวว่า “แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน แต่ท่านเชื่อผมเถอะว่า คนอายุ 75 ปี ผมเองอายุ 63 ปี สภาพร่างกายก็ยังไม่ค่อยปกติธรรมดา ฉะนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ก็แล้วแต่มุมมองที่สังคมมอง ถ้าคนที่ชอบท่านนายกฯ ทักษิณก็มองให้ความเป็นธรรม มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าคนที่ไม่ชอบ ถึงท่านจะนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่เห็นหน้า ก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ไปในทางลบ เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว พูดจากความที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง แม้แต่อาจารย์ชูศักดิ์ วันนี้เดินมาก็ไม่ได้จะสมบูรณ์ ไม่เหมือนกับตอนหนุ่มๆ ที่ไหน”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า อะไรที่ทำให้ทักษิณหายเร็วได้ขนาดนี้ ครูมานิตย์กล่าวว่า “กำลังใจสิครับ ยาไม่ได้ทำให้คนหายไว”
ชูศักดิ์กล่าวเสริมว่า “ที่เราคุยปัญหานี้ เราต้องถามตัวเอง และถามคนที่ถามว่า มองปัญหานี้เป็นปัญหาส่วนรวมหรือเป็นปัญหาการเมือง ปัญหาความขัดแย้งในอดีตที่ผ่านมาหรือเปล่า เราก้าวพ้นเรื่องนี้หรือยัง เอาคำถามนี้ถามตัวเองจะได้รู้ว่าท้ายที่สุดเป็นอย่างไร ส่วนตัวคิดว่าการตั้งคำถามแบบนี้ถามเพื่อให้มีความเห็นความรู้สึกว่าความขัดแย้งยังมีอยู่ ยังไม่ได้ก้าวพ้นเรื่องพวกนี้เลย ผมขอเชิญชวนทุกคนมาคิดเรื่องบ้านเมือง เรื่อง PM2.5 เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องต่างๆ ดีกว่า ก้าวข้ามเรื่องพวกนี้”
ชูศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า “การที่จะมาตัดสินใจว่าไม่ป่วยจริง คำถามคือใครเป็นคนชี้ ใครเป็นคนตัดสินใจ ผมเข้าใจว่าท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ ก็ไม่ได้ตัดสินใจเอง ท่านไม่ได้บอกเองว่าท่านป่วยหรือไม่ป่วย แต่คนตัดสินใจคือคนที่รับผิดชอบหรือคณะกรรมการ ซึ่งก็ชี้แจงมาโดยลำดับ เพราะฉะนั้น โดยรวมผมอยากให้เราก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไปเถอะ อย่าเอามาเป็นประเด็น ท้ายสุดก็จะวนเวียนกับเรื่องนี้ ประเทศไทยก้าวไม่พ้นอะไรกันสักที วนกลับไปที่เดิม”