วันนี้ (9 มกราคม) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนชุดแรกที่เดินทางเข้าประเทศไทย ภายหลังที่ทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนเริ่มเปิดประเทศวานนี้ (8 มกราคม)
โดยเที่ยวบินแรกเดินทางมาจากเมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน นำนักท่องเที่ยว 269 คนมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในเวลา 12.17 น. บรรยากาศระหว่างทางเดินออกมีนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนหนึ่งถ่ายภาพเซลฟีกับอนุทิน พร้อมพูดคุยทักทายอย่างเป็นกันเอง
อนุทินกล่าวว่า วันนี้ทั้ง 3 กระทรวงได้มาร่วมต้อนรับพร้อมตรวจดูสถานการณ์ว่าการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนไฟลต์แรกเป็นอย่างไร ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้ง 269 คนที่เดินทางเข้ามาปฏิบัติตามมาตรการรับมือโควิดอย่างเคร่งครัด
ทั้ง 3 กระทรวงได้รับนโยบายจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา โดยกำหนดมาตรการการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ใช้ข้อกำหนดเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยก จนกว่าจะมีสถานการณ์ที่จำเป็น
“สำหรับวันนี้จะมีเที่ยวบินขาเข้าจากจีน 15 เที่ยวบิน มีผู้โดยสาร 3,465 คน ทั้งหมดใช้มาตรการด้านสาธารณสุขตามมาตรฐานโลก ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าตลอดปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยผ่านทางอากาศยานประมาณ 7-10 ล้านคน จากเดิมก่อนโควิดที่มีประมาณ 20 ล้านคนต่อปี” อนุทินกล่าว
อนุทินกล่าวต่อไปว่า กระทรวงคมนาคมมีความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวในทุกท่าอากาศยาน มีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารอย่างเพียงพอ และมีการบูรณาการกับทุกหน่วยงานในสังกัด เพื่ออำนวยความสะดวกและให้บริการนักท่องเที่ยวทุกสัญชาติในทุกรูปแบบ ตั้งแต่เดินทางถึงประเทศไทย
สำหรับปัญหากระเป๋าสัมภาระที่ล่าช้า ทางกระทรวงคมนาคมได้เร่งแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยกำหนดเวลาเฉลี่ยการลำเลียงกระเป๋าใบแรกต้องเสร็จใน 27 นาที และใบสุดท้ายเสร็จสิ้นภายใน 44 นาที ส่วนระบบขนส่งสาธารณะปัจจุบันเพิ่มจำนวนการให้บริการ ปรับปรุงระยะเวลาในการรอคิวรถสาธารณะ ตั้งเป้าไม่เกิน 10 นาทีต่อคน
อนุทินกล่าวต่อด้วยว่า การเดินทางเข้าประเทศไทยของนักท่องเที่ยวจีนและทั่วโลก มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งเป็นการสร้างรายได้เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทำให้คนมีงานทำ มีโอกาส หากคนไทยให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยความอบอุ่นและระมัดระวังสุขภาพตัวเอง ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับความเสียหายจากสถานการณ์โควิดมาตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี
ในฐานะตัวแทนรัฐบาล ขอขอบคุณทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน พนักงาน เจ้าหน้าที่ ข้าราชการที่ได้ให้ความร่วมมือในการดูแลสุขภาพของตัวเอง จนทำให้วันนี้สามารถเปิดประเทศได้ และมีคนเลือกเดินทางเข้ามาประเทศไทยเป็นประเทศแรก
“จากรายงานที่ประชุมของคณะกรรมการวิชาการตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2558 ของกระทรวงสาธารณสุข ในช่วงเช้าที่ผ่านมา เล็งเห็นว่า ขณะนี้จำนวนประชาชนที่ฉีดวัคซีนมีมากแล้วทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทำให้คนมีภูมิคุ้มกันแล้วในระดับหนึ่ง
ฉะนั้นการไปเน้นเรื่องวัคซีนของผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศอาจทำให้เกิดความไม่สะดวก ที่ประชุมจึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องนำเรื่องการแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน 2 เข็มมาเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการแล้ว” อนุทินกล่าว
อนุทินกล่าวย้ำว่า ขณะนี้มั่นใจว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนก่อนที่จะเดินทางมาเที่ยวแล้ว และปัจจุบันโควิดในประเทศไทยได้ประกาศลดระดับจากโรคติดต่อร้ายแรงเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ระบบการแพทย์และยารักษาเพียงพอ จึงไม่ต้องแสดงหลักฐานวัคซีนอีกต่อไป
นอกจากนี้ก็จะไม่มีการสุ่มตรวจหาเชื้อโควิดด้วย ส่วนนักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนที่ประเทศไทยจะมีค่าใช้จ่าย ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขจะประสานกับทางโรงพยาบาลเอกชนต่อไป
อนุทินกล่าวด้วยว่า ในการทำกรมธรรม์ นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องทำกรมธรรม์ก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย แต่ทั้งนี้ไม่ได้กำหนดวงเงินในการทำประกันในส่วนนี้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่จะต้องเดินทางกลับประเทศตนเอง และจำเป็นต้องแสดงผลตรวจหาเชื้อโควิด มีส่วนไว้ดูแล เพราะถ้าตรวจพบเชื้อ ประกันจะครอบคลุมการรักษา ทางกระทรวงสาธารณสุขจะไม่ได้ดูแล