รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของเยอรมนีปฏิเสธไม่ขายเครื่องยนต์เรือดำน้ำต่อหน้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยที่เสนอแนวคิดว่าไทยจะขอซื้อเครื่องยนต์เรือดำน้ำไปติดเอง
การปฏิเสธนี้เป็นคำยืนยันอีกครั้งว่า ภายใต้เงื่อนไขทางกฎหมายและการทูตของสหภาพยุโรปในปัจจุบัน รวมถึงเงื่อนไขทางการเมืองของเยอรมนี แทบไม่มีทางที่เยอรมนีจะอนุมัติขายเครื่องยนต์ MTU396 เพื่อไปติดกับเรือดำน้ำจีน เพราะเครื่องยนต์เป็น Dual-used technology หรือเทคโนโลยีที่นำไปใช้ได้สองทาง ที่จริงๆ สหภาพยุโรปไม่อนุญาตให้ขายให้กับจีนมาหลายสิบปีแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดเพียงพอ
และการปฏิเสธในครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้ง หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน เคยพยายามติดต่อเยอรมนีเพื่อขอซื้อเครื่องยนต์เรือดำน้ำมาติดตั้งเอง ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จ และมีกระแสข่าวว่ามีความพยายามในการดำเนินการเช่นนี้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
จริงๆ แล้วถ้าพิจารณาดีๆ ทางเลือกในการให้ไทยซื้อเครื่องยนต์เรือดำน้ำมาติดตั้งเองนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติเพราะ
- ถ้าไทยซื้อเครื่องยนต์มาเองแล้วโอนให้จีนติดตั้ง สุดท้ายก็แปลว่าเทคโนโลยีนี้ก็ต้องผ่านมือจีนอยู่ดีเพราะต้องส่งไปติดตั้งที่อู่ต่อเรือในเมืองอู่ฮั่น ดังนั้นก็จะผิดกฎอยู่ดี
- แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นไทยซื้อเครื่องยนต์เรือดำน้ำ แล้วลากเรือดำน้ำเปล่ามาติดตั้งเครื่องยนต์ในประเทศไทยนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติมากเข้าไปอีก เพราะไทยไม่มีขีดความสามารถทั้งทางโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการติดตั้งเครื่องยนต์เรือดำน้ำเอง เนื่องจากการติดตั้งเครื่องยนต์นั้นต้องผ่าเรือดำน้ำออกเป็นสองส่วน ติดตั้งเครื่องยนต์เข้าไป และเชื่อมตัวเรือดำน้ำเข้าด้วยกันอีกครั้งซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าทางเลือกแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้จริงในทางปฏิบัติอยู่แล้ว
แต่การที่ไทยไปถามเยอรมนีด้วยตัวเองแบบนี้ก็มีข้อดีอยู่ก็คือ ทำให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลไทยได้ยินกับหูว่ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆ จะได้ไม่ต้องไปฟังใครมาให้ความหวัง และจะได้ทำให้รัฐบาลไทยกลับมาสู่ตัวเลือกเดิมอีกครั้งก็คือ การยอมตามข้อเสนอของจีนในการแก้ไขสัญญาเพื่อใช้เครื่องยนต์ CHD620 ของจีนที่ทำมาแทน ซึ่งตอนนี้มีปากีสถานยอมรับไปใช้งานแล้วเริ่มต้น 1 ลำ หรือยกเลิกสัญญาและเจรจาขอเงินที่จ่ายไปกว่า 8 พันล้านบาทคืน
ถ้าเลือกทางแรก ก็เป็นทางเลือกที่ทำให้กองทัพเรือได้รับเรือดำน้ำและเดินหน้าโครงการต่อได้ โดยใช้เวลาอีกราว 1,000 กว่าวันกองทัพเรือก็จะได้รับเรือดำน้ำมาใช้งาน เพียงแต่รัฐบาลต้องยอมรับว่า การแก้สัญญาเรือดำน้ำอาจถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์และอุ้มซัพพลายเออร์ซึ่งทำไม่ได้ตามสัญญา แต่ไทยก็ยังยอมเสียเปรียบเพื่อยอมใช้เครื่องยนต์ทดแทนที่ได้รับความเชื่อมั่นต่ำกว่าและมีความเสี่ยงมากกว่า
ยังไม่นับว่าในกรณีนี้ไทยไม่ใช่ฝ่ายผิด แต่เป็นซัพพลายเออร์ฝั่งจีนที่ผิด เพราะจีนคือผู้ผิดสัญญาไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์มาให้ไทยได้ และหลักฐานหลายๆ อย่างชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของฝั่งจีนมากกว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
ดังนั้นการยอมเปลี่ยนตามจีนแทนที่จะปรับหรือยกเลิกสัญญาตามกฎหมายก็มีความเสี่ยงที่อาจจะถูกร้องเรียนหรือถูกฟ้องได้ รวมถึงผลทางการเมืองที่พรรคเพื่อไทยคือพรรคที่เปิดโปงกรณีเครื่องยนต์เรือดำน้ำมาตั้งแต่แรก และเรียกร้องให้ยกเลิกสัญญาเพื่อนำเงินคืน แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลกลับกลายเป็นยอมรับเครื่องยนต์จีนเสียเอง ซึ่งก็จะส่งผลทางการเมืองและชื่อเสียงของพรรค
แต่ถ้ารัฐบาลเลือกที่จะยกเลิก รัฐบาลก็จะตัดความกังวลทั้งด้านคดีความและผลทางการเมืองนี้ออกไปได้ทั้งหมด แต่ก็จะต้องทำงานมากขึ้นก็คือ การเจรจากับจีนเพื่อยกเลิกสัญญาและขอเงินคืน ซึ่งก็มีความเสี่ยงสูงที่จีนจะไม่คืนเป็นเงินสด โดยเฉพาะถ้าลองเทียบกับโครงการสร้างทางรถไฟ ERCL ของมาเลเซียที่มีการแก้สัญญากับจีน แต่สุดท้ายผลลัพธ์ของการเจรจาก็ไม่ได้คืนเป็นเงิน แต่ได้คืนเป็นเรือตรวจการณ์ขนาดเล็กจำนวน 6 ลำ แทน
ในกรณีของไทยอาจจะต้องเจรจาขอคืนเป็นของอย่างอื่น เช่นเรือผิวน้ำที่ไม่ต้องติดระบบอาวุธ เพื่อให้กองทัพเรือมาติดอาวุธตามมาตรฐานของตัวเอง และนำมาทดแทนเรือคอร์เวตต์อย่างเรือสุโขทัยที่จมไปก็ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือเรือดำน้ำมีความสำคัญสำหรับกองทัพเรือไทยมาก กำลังจะเป็นประเทศสุดท้ายที่ไม่มีเรือดำน้ำใช้งาน ซึ่งจะส่งผลต่อดุลกำลังรบและความมั่นคงของชาติ ความล้มเหลวของการจัดหาเรือดำน้ำ S26T จากจีนไม่ควรจะนำไปสู่บทสรุปว่ากองทัพเรือไม่ควรมีเรือดำน้ำ แต่ควรจะระบุว่านี่คือความผิดพลาดของการบริหารโครงการ และควรเริ่มโครงการจัดหาเรือดำน้ำใหม่ โดยรอบนี้ต้องมีการบริหารโครงการให้ดีขึ้น จัดทำหลักเกณฑ์การประมูลให้รัดกุมมากขึ้น และต้องมีการชดเชยและตอบแทนทางเศรษฐกิจหรือ Offset ไม่ให้เหมือนครั้งที่แล้วที่เศรษฐกิจไทยไม่ได้อะไรเลย
และข้อสำคัญก็คือรอบนี้รัฐบาลเพื่อไทยจะเป็นผู้บริหารโครงการเอง สามารถออกแบบโครงการให้ได้ผลประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็จะกลายเป็นผลงานของรัฐบาลเช่นกัน
และสุดท้าย ไม่ว่าจะเลือกทางเลือกใด รัฐบาลควรต้องรีบตัดสินใจว่าจะเลือกทางใด เพราะเรื่องนี้ยืดเยื้อมานานแล้ว โดยโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2555 แต่ปี 2568 แล้วยังไม่สามารถรู้ได้เลยว่าโครงการจะเดินไปในลักษณะใด ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องแสดงภาวะผู้นำและแสดงความกล้าหาญในการตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหาใหญ่นี้ให้จบสิ้นเสียที