นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองของวงการรถยนต์ไทย เมื่อแบรนด์รถหรูอย่าง MINI สามารถทำราคาที่น่าตื่นเต้นและเหนือความคาดหมายสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบแบรนด์ จากแต่เดิมที่เคยอยู่ในระดับ 2-3 ล้านบาท เหลือเพียง 1.69 ล้านบาท สำหรับรุ่น MINI Cooper SE ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของตลาดรถยนต์หรูที่เริ่มปรับตัวเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
การปรับราคาลงอย่างมีนัยสำคัญนี้เป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญคือการย้ายฐานการผลิตบางส่วนจากอังกฤษไปยังประเทศจีน รวมถึงการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการเป็นรถยนต์ไฟฟ้า โดยรถนำเข้าจะมีอัตราภาษี 80% ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า และมีอัตราภาษีสรรพสามิตต่ำกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต 25-30%
“ที่น่าสนใจคือการที่เราพบว่าลูกค้าซื้อ MINI ด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล เพราะการมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่แข็งแรงพอจะตัดเหตุผลออกไปได้ และยังได้เข้ามาช่วยให้ MINI ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเล่นสงครามราคา แต่เน้นไปที่สร้างแบรนด์และฐานลูกค้า” ประภัสรา อร่ามวงศ์สมุทร ผู้อำนวยการ มินิ ประเทศไทย ระบุ
กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งส่งผลให้ยอดขายของ MINI เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567 ยอดจดทะเบียน MINI เพิ่มขึ้น 4% ขณะที่ตลาดรถยนต์หรูโดยรวมหดตัวถึง 24% และตลาดรถยนต์ทั่วไปหดตัว 22% นอกจากนี้ยอดจองในงาน Motor Expo ที่ผ่านมายังเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 34%
ปัจจุบัน MINI มีรถยนต์ไฟฟ้าให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ MINI Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด ราคา 1.69 ล้านบาท, MINI Aceman รถครอสโอเวอร์ขนาดเล็ก 4 ประตู ราคา 1.99 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถที่มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น แต่ยังคงความคล่องตัวในการขับขี่ในเมือง และ MINI Countryman SE รถอเนกประสงค์ที่ผลิตในเยอรมนี ราคา 3.399 ล้านบาท
ความเคลื่อนไหวสำคัญอีกประการหนึ่งคือการย้ายฐานการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมายังประเทศไทยที่โรงงานระยอง โดยเริ่มจากรุ่น Countryman S ALL4 ซึ่งมาพร้อมขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทคโนโลยี TwinPower Turbo มีราคาเริ่มต้นที่ 2.599 ล้านบาท และรุ่น Hightrim ราคา 2.799 ล้านบาท โดยโรงงานระยองมีกำลังการผลิตรวมกว่า 30,000 คันต่อปี รวมทั้งการผลิตรถยนต์ BMW และมอเตอร์ไซค์ BMW Motorrad
“การผลิตในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของบริษัทแม่ต่อศักยภาพของภูมิภาคนี้และโรงงานระยอง” ประภัสรากล่าว พร้อมเผยว่าสัดส่วนการซื้อรถของลูกค้าแบ่งเป็นเงินสดและไฟแนนซ์ในอัตรา 50:50
สำหรับแผนในปี 2568 MINI เตรียมขยายไลน์อัพผลิตภัณฑ์ให้ครบถ้วนยิ่งขึ้น โดยจะมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่อีก 4 รุ่น ประกอบด้วย รถสมรรถนะสูง John Cooper Works 3 รุ่น และรถเปิดประทุน MINI Convertible โฉมใหม่ ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น
ด้านกิจกรรมทางการตลาด MINI วางแผนจัดงาน MINI EXPO และ MINI THAILAND UNITED งานรวมพลคนรัก MINI ที่จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับคอมมูนิตี้ พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของ MINI มากขึ้น
“เป้าหมายของเราในปี 2568 คือการเติบโตอย่างยั่งยืนตามความต้องการของตลาด พร้อมขยายการรับรู้ของแบรนด์และผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง เราต้องการให้ MINI เป็นหนึ่งใน Dream Car ที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้” ประภัสรากล่าวทิ้งท้าย