×

นักท่องเที่ยวจีนหาย หวั่นเจรจาภาษีทรัมป์ยืดเยื้อ! กกร. หั่นเป้า GDP ไทยเหลือ 1.5-2.0%

04.06.2025
  • LOADING...
china-tourism-drop-thailand

กกร. หั่นเป้า GDP ปี 2568 เหลือ 1.5-2.0% ห่วงเจรจาภาษีสหรัฐฯ ยืดเยื้อ ค่าเงินบาทแข็ง กดดันส่งออกติดลบ 0.5-0.3% ชี้เศรษฐกิจไทยเจอแรงกระแทกรอบด้าน ขยายตัวต่ำกว่าคาด

 

ผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย กล่าวหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนมิถุนายนว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย ซึ่งล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษี Sectoral Tariff เหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% 

 

อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าในระดับหนึ่ง

 

แรงส่งของเศรษฐกิจไทยแผ่วจากนักท่องเที่ยวจีนลด ส่งออกต่ำกว่าคาด

 

นอกจากนี้ แรงส่งของเศรษฐกิจไทยแผ่วลง ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัวที่ 3.1%YoY แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวตามการลงทุนภาครัฐซึ่งเทียบกับฐานต่ำในปีก่อน หากไม่นับปัจจัยดังกล่าวเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 2.1%YoY เท่านั้น

 

โดยการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง ด้านการส่งออกสินค้าแม้จะขยายตัวสูงกว่า 15%YoY ตามการเร่งส่งออกแต่กลับไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิตซึ่งขยายตัวเพียง 0.6%YoY โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกโดยใช้สินค้าคงคลังและผู้ประกอบการไม่ได้ผลิตเพื่อทดแทนสินค้าคงคลังที่ลดลง

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ โดยคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 1.5-2.0% ตามการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง ส่วนประมาณการส่งออกไทยปีนี้ ลงเหลือ -0.5-0.3% จากเดิมคาดโต 0.3-0.9% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั้งปี ยังคงไว้เดิมที่ 0.5-1.0%

 

ทั้งนี้ การที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ที่ 2.0% จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท

 

ผยงกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17.0% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลงและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ แม้คาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียง 3.0%YoY แต่ครึ่งหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไม่ถึง 1%YoY 

 

โดยขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐฯ และไทย เทียบกับประเทศคู่แข่ง ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน 

 

ห่วงการไหลบ่าของสินค้านำทะลักไทย

 

ดังนั้นมาตรการภาครัฐที่ปัจจุบันเป็นมาตรการระยะสั้น จึงควรมองต่อเนื่องทั้งมาตรการระยะกลางและระยะยาวเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง 

 

“ห่วงว่าการไหลบ่าของสินค้านำเข้าผ่านการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบสินค้าผ่านด่าน ปัญหาสวมสิทธิ์เพื่อส่งออกจะกระทบ ซึ่งเรากังวลประเด็นการสวมสิทธิ์การส่งออก และการ Re-export โดยใช้ Local Content ต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้สูง แต่ก็มีการนำเข้าที่สูง ขณะที่ภาคการผลิต การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งไทยยังขาดการเชื่อมโยงนำเข้ากับส่งออก”

 

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเสริมว่า กกร. กังวลเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาอัตราภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันกรอบเวลาในการเจรจายังไม่ชัดเจน และมีความเสี่ยงสูง ซึ่งจะเชื่อมโยงกับประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจา โดยระยะเวลาผ่อนปรนภาษี 90 วันของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 8 กรกฎาคม  

 

บวกกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์ โดยแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในเดือนที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้

 

มากไปกว่านั้น มีความกังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยทั้งจากสภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว แรงกดดันจากสงครามการค้า และการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs 

 

ดังนั้น เพื่อเป็นมาตรการลดภาระให้กับผู้ประกอบการไทย กกร. จึงเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการที่ปัจจุบันมีการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยขอให้ปรับลดวงเงินประกันฯ ให้เหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด จากเดิมที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 ปรับเหลือ 0.8 เท่า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising