โลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ที่ถูกขนานนามว่า ‘China Shock 2.0’ เมื่อภาวะกำลังการผลิตล้นเกิน (Overcapacity) และอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซาของจีน กำลังผลักดันให้สินค้า Made in China ราคาถูกทะลักเข้าสู่ตลาดโลก สร้างแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจที่เป็นเหมือนดาบสองคม
ด้านหนึ่งคือ ‘แสงสว่างปลายอุโมงค์’ (Silver Lining) ที่ช่วยบรรเทาแรงกดดันเงินเฟ้อให้กับหลายประเทศ แต่ในอีกด้านหนึ่งคือภัยคุกคามร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมท้องถิ่นที่อาจถูกสินค้าราคาถูกกว่าตีตลาดจนพังทลาย โดยนักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Nomura ชี้ว่า ประเทศไทย คือประเทศที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดและมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) ในปีนี้
ซัพพลายเออร์จีนแห่ลดราคาสู้พิษเศรษฐกิจ
สัญญาณของปรากฏการณ์นี้ปรากฏชัดเจนจากเรื่องราวของ วินเซนต์ ซู ผู้ประกอบการร้านค้าของชำออนไลน์ Webuy Global ในสิงคโปร์ เผยว่า นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ซัพพลายเออร์ในจีนกว่า 1 ใน 3 ซึ่งเผชิญกับปัญหาสินค้าคงคลังล้นสต็อก ได้เสนอส่วนลดให้เขาสูงถึง 70%
“ตลาดในประเทศจีนแข่งขันกันสูงเกินไป ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่บางรายกำลังดิ้นรนเพื่อระบายสต็อกสินค้า เนื่องจากอุปสงค์ผู้บริโภคที่อ่อนแอ” ซูกล่าว
สถานการณ์นี้มีต้นตอจากภาวะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของจีนอยู่ในภาวะเงินฝืด ติดลบมานานกว่า 2 ปี ขณะที่เงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) อยู่ใกล้ศูนย์ แต่รัฐบาลจีนกลับเลือกที่จะเดินหน้าเต็มกำลังกับภาคการผลิตและมุ่งเน้นการส่งออกเพื่อชดเชยการบริโภคในประเทศที่ซบเซา
ข้อมูลศุลกากรจีนสะท้อนภาพนี้ชัดเจน โดย 4 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกของจีนไปยังกลุ่มอาเซียนเพิ่มขึ้น 11.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ หดตัว 2.5% โดยเฉพาะในเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว การส่งออกไปอาเซียนพุ่งขึ้นถึง 20.8% สวนทางกับการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ดิ่งลงกว่า 21%
Nomura ชี้ ‘ไทย’ เสี่ยงสูงสุด อาจเจอภาวะเงินฝืด
นักเศรษฐศาสตร์จาก Nomura คาดการณ์ว่า “แรงกดดันด้านการลดลงของเงินเฟ้อ (Disinflationary Forces) มีแนวโน้มที่จะแผ่ขยายไปทั่วเอเชีย” และประเทศในเอเชียจะรู้สึกถึงผลกระทบจาก China Shock ที่เร่งตัวขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ที่น่ากังวลที่สุด Nomura คาดการณ์ว่า “ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจาก ‘China Shock’ ครั้งนี้ ถึงขั้นอาจเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในปีนี้” ขณะที่อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็จะเห็นอัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางเช่นกัน
ปรากฏการณ์ China Shock นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้น 2000 โลกเคยเผชิญกับสถานการณ์คล้ายกันที่สินค้าราคาถูกจากจีนช่วยกดเงินเฟ้อทั่วโลกให้ต่ำ แต่ก็ต้องแลกมากับการสูญเสียตำแหน่งงานในภาคการผลิตของหลายประเทศ และดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง
แรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลงจากปรากฏการณ์นี้ อาจปูทางให้ธนาคารกลางในเอเชียสามารถ ‘ปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากขึ้น’ และดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างไปจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Decouple from the Fed) ได้มากขึ้น Nomura คาดการณ์ว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้:
- ธนาคารกลางอินเดียอาจลดดอกเบี้ยได้อีก 1%
- ไทยและฟิลิปปินส์อาจลดได้ 0.75%
- ออสเตรเลียและอินโดนีเซียอาจลดได้ 0.50%
- เกาหลีใต้อาจลดได้ 0.25%
‘ดาบสองคม’ ช่วยลดเงินเฟ้อ แต่บั่นทอนผู้ผลิตในประเทศ
เอสวาร์ ปราสาด ศาสตราจารย์อาวุโสด้านนโยบายการค้าและเศรษฐศาสตร์จาก Cornell University กล่าวว่า “ทุกประเทศทั่วโลกกำลังกังวลว่าจะถูกถล่มด้วยสินค้าส่งออกจากจีน หลายประเทศเริ่มตั้งกำแพงเพื่อกีดกันสินค้านำเข้าจากจีนแล้ว”
ซึ่งในความเป็นจริง หลายประเทศในเอเชีย เช่น อินเดีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ได้เริ่มใช้มาตรการปกป้องทางการค้า เช่น ภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-dumping Duties) มาก่อนหน้ามาตรการภาษีของทรัมป์เสียอีก
แต่อีกด้านหนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์มองว่านี่คือ ‘แสงสว่างปลายอุโมงค์’ สำหรับประเทศที่เหนื่อยล้าจากภาวะเงินเฟ้อสูง นิค มาร์โร นักเศรษฐศาสตร์หลักของ Economist Intelligence Unit ชี้ว่า สำหรับตลาดที่มีฐานการผลิตจำกัด สินค้านำเข้าราคาถูกจากจีนอาจช่วยบรรเทาวิกฤตค่าครองชีพและลดแรงกดดันเงินเฟ้อได้ ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารกลางมีช่องว่างในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อประคองการเติบโตของเศรษฐกิจได้มากขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
อ้างอิง: