ตัวเลขผู้ป่วยโควิดในประเทศจีนพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งจนใกล้เคียงกับระดับสูงสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยทางการจีนได้รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เกือบ 28,000 คน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จากการแพร่ระบาดหนักในเมืองสำคัญอย่างปักกิ่ง กว่างโจว และฉงชิ่ง
เป็นช่วงเวลาเกือบ 3 ปี หลังการระบาดของโควิดครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น แต่อัตราส่วนของการฉีดวัคซีนของประชาชนจีนยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศใหญ่หลายประเทศ ในขณะที่ทางการจีนยังเลือกใช้วิธีการล็อกดาวน์เป็นแนวทางหลักในการควบคุมการแพร่ระบาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ต่างชาติแห่ซื้อ ‘หุ้นบลูชิพจีน’ รับกระแสเปิดประเทศ เพียงสัปดาห์เดียวเงินไหลเข้าแล้วกว่า 5.6 หมื่นล้านหยวน
- ‘UN’ เผยประชากรโลกแตะ 8 พันล้านคนแล้ว ‘อินเดีย’ จ่อแซงจีนปีหน้า หลังอายุขัยเฉลี่ยมนุษย์สูงขึ้น
- ดับฝัน? ผลสำรวจพบนักท่องเที่ยวจีนเกือบครึ่ง ‘ไร้แผนเดินทางออกนอกประเทศ’ ในปีนี้ ขณะที่ค่าใช้จ่ายระหว่างทริปก็น้อยลง
ล่าสุดทางการจีนได้สั่งปิดธุรกิจที่ไม่ใช่บริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในเขตเมืองใหญ่หลายแห่ง อย่างเมืองเฉาหยางที่มีประชากร 3.4 ล้านคน ถูกสั่งปิดร้านอาหารและสถานบันเทิงเกือบทั้งหมด และออกประกาศให้ประชาชนทำงานจากที่บ้าน
Ting Lu ประธานทีมเศรษฐกิจจีนของโนมูระ กล่าวว่า “จีนกำลังเผชิญกับการล็อกดาวน์ที่เข้มข้นมากที่สุด ซึ่งหนักหนากว่าการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ก่อนหน้านี้ เพราะครั้งนี้มีเมืองจำนวนมากที่เผชิญกับการล็อกดาวน์บางส่วน”
นอกจากนี้โนมูระยังประเมินว่าการควบคุมโควิดรอบนี้จะกระทบต่อพื้นที่ในหลายเมือง ซึ่งมีส่วนต่อ GDP จีนราว 1 ใน 5 ของ GDP ทั้งประเทศ
ก่อนหน้านี้การล็อกดาวน์ของจีนทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตชะลอลงในไตรมาส 2 เหลือเพียง 0.4% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การคุมเข้มอย่างต่อเนื่องยังได้กระทบต่อเศรษฐกิจภายรวม และทำให้ยอดค้าปลีกลดลง 0.5% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ในมุมของ John Woods ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก Credit Suisse กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนในปี 2023 มีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้พอประมาณ โดยคาดว่า GDP จะเติบโต 4.5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3.3%
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนจะยังถูกกดดันจากนโยบาย Zero-COVID ขณะเดียวกันยอดขายของภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังคงอ่อนแอต่อไป แม้ว่ามาตรการควบคุมโควิดจะจบลงไปแล้ว โดยเราคาดว่าการฟื้นตัวของภาคอสังหาจีนจะเป็นรูปแบบของ L Shape
“เราคาดว่าจีนจะเปิดประเทศได้ช่วงปลายไตรมาส 1 ซึ่งล่าช้ากว่าการเปิดประเทศของฮ่องกงราว 6 เดือน หลังจากที่การฉีดวัคซีนในจีนเริ่มมากขึ้น”
สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นจีนจากการล็อกดาวน์ครั้งนี้ ดัชนี CSI 300 ลดลง 2.5% จากสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้ดัชนีลดลงมาแล้วประมาณ 25% จากต้นปี
นอกจากนี้ Goldman Sachs Group ยังได้ประเมินว่า การยึดมั่นต่อนโยบาย Zero-COVID ของจีน อาจจะกระทบต่อมาตรการฟื้นฟูภาคอสังหาของจีน และอาจทำให้นโยบายช่วยเหลือไม่เกิดประสิทธิผลเท่าที่ควร
ทั้งนี้ Goldman คาดการณ์ว่าจีนจะเปิดประเทศ ซึ่งในที่นี้หมายถึงการที่ทางการจีนจะไม่ล็อกดาวน์อีกต่อไปเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จะเกิดขึ้นในครึ่งปีแรกของปี 2023
นักเศรษฐศาสตร์คาดไร้ความหวังจีนยกเลิก Zero-COVID
Larry Hu หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจาก Macquarie กล่าวว่า จำนวนผู้ติดโควิดที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศจีน ทำให้เป็นเรื่องยากขึ้นสำหรับรัฐบาลจีนที่จะบรรลุกลยุทธ์ ‘โควิดเป็นศูนย์’ โดยไม่กลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่รุนแรง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นเป็นประมาณหรือมากกว่า 28,000 ราย ซึ่งใกล้เคียงกับระดับที่เห็นในเดือนเมษายน ซึ่งนำไปสู่การปิดเมืองอย่างเข้มงวดในเซี่ยงไฮ้
โดยตามการคำนวณของ CNBC ซึ่งใช้ข้อมูลจาก Wind Information แสดงให้เห็นว่า ครั้งสุดท้ายที่จีนพบผู้ติดเชื้อเพียงไม่กี่คนต่อวันคือในเดือนมิถุนายน หรือไม่นานหลังจากเซี่ยงไฮ้ผ่อนคลายการล็อกดาวน์
การระบาดระลอกล่าสุดโจมตีเมืองกว่างโจวทางตอนใต้ของจีน กรุงปักกิ่ง และเมืองทางภาคกลางหลายแห่งของจีน ทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต้องออกมาตรการเข้มงวดกับธุรกิจและกิจกรรมทางสังคมเพิ่มขึ้นในเดือนนี้
Hu กล่าวอีกว่า “จีนอาจผ่านจุดที่กลับตัวไม่ได้ไปแล้ว” เนื่องจากจีนไม่น่าจะบรรลุเป้าหมายโควิดเป็นศูนย์ได้ หากไม่ล็อกดาวน์แบบเดียวกับเซี่ยงไฮ้ และสิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายสามารถทำได้ในตอนนี้คือ การชะลอการแพร่ระบาดของไวรัส โดยกระชับมาตรการควบคุมโควิดให้เข้มงวดขึ้น
ตลาดมีการคาดเดากันมานานหลายสัปดาห์เกี่ยวกับจังหวะเวลาที่จีนจะเลิกใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่เข้มงวด หลังการควบคุมดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจเซี่ยงไฮ้ ซึ่งถูกล็อกดาวน์ มีการเติบโตเพียง 3% ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้
อ้างอิง: