ความเคลื่อนไหวดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง และดัชนี China A50 ของจีน ร่วงลง 4.6% และ 3.2% ตามลำดับในวันนี้ (14 มีนาคม) โดยแรงกดดันที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่แล้วมาจากการร่วงลงของบรรดาหุ้นเทคโนโลยีของจีน ได้แก่ Meituan -11.2%, Alibaba -7.8% และ Tencent -4.5% ขณะที่ดัชนี Hang Seng TECH ลดลงไปกว่า 7%
ในขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่ได้หรืออาจจะไม่ได้ติดลบมากนัก เช่น Nikkei ของญี่ปุ่น +0.6%, Taiwan Weighted ของไต้หวัน -0.01%, KOSPI ของเกาหลีใต้ -0.6% ส่วนดัชนี SET ของไทย +0.1%
แรงกดดันสำคัญต่อหุ้นจีนและฮ่องกงมาจากการแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ในจีน ทำให้รัฐบาลตัดสินใจสั่งล็อกดาวน์เมืองเซินเจิ้น ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่กว่า 17.5 ล้านคน ทั้งนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในจีนเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 3,400 คนต่อวัน จากที่ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำกว่า 200 คนต่อวันมาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2021
การล็อกดาวน์ดังกล่าวกระทบต่อระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งรถประจำทางและรถไฟใต้ดินที่หยุดให้บริการ เช่นเดียวกับธุรกิจต่างๆ ต้องปิดชั่วคราว ยกเว้นบริการที่จำเป็นเท่านั้น และห้ามประชาชนเดินทางออกนอกเมือง
นอกจากนี้บริษัทอย่าง Foxconn ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของ Apple ระบุว่า บริษัทจำเป็นต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเช่นกัน
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่เข้ามากระทบหุ้นจีนคือ การที่หุ้นจีนซึ่งจดทะเบียนในสหรัฐฯ อาจจะถูกถอดออกจากตลาด ซึ่งล่าสุดเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในประเด็นนี้
รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง มองว่า ขณะนี้หุ้นจีนเผชิญกับปัจจัยกดดันหลายด้าน ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญคือกรณีที่ประเด็นเรื่องของหุ้นจีนจะถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากที่ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ระบุชัดว่าหุ้นที่เข้าข่ายมีบริษัทใดบ้าง
“ประเด็นดังกล่าวดูจะชัดเจนมากขึ้น แต่โดยรวมยังมองว่าผลกระทบอาจไม่มากอย่างที่คิดและคงไม่ได้เกิดขึ้นทันที เพราะตามเกณฑ์อาจจะใช้เวลาอีก 3 ปี ขณะที่บริษัทต่างๆ ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ”
การปรับฐานของหุ้นจีนน่าจะเป็นเรื่องของ Sentiment มากกว่าเรื่องปัจจัยพื้นฐาน แต่ก็ยังประเมินได้ยากว่าประเด็นนี้จะกระทบนานเพียงใด
“อีกประเด็นที่ต้องติดตามคือตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าอาจจะเห็นการเพิ่มขึ้นต่อในเดือนมีนาคม เพราะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่หากรัฐบาลจีนเริ่มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำให้ตลาดเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง”
ด้าน วิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประเมินว่า เรื่องของโควิดน่าจะกระทบต่อหุ้นในเชิง Sentiment มากกว่า จากความกังวลที่การล็อกดาวน์กลับมาเข้มข้นอีกครั้ง แต่การที่คนส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนแล้ว ทำให้ผลกระทบจากการระบาดครั้งนี้อาจจะไม่รุนแรงนัก
“เชื่อว่าตลาดตอบรับต่อประเด็นนี้ค่อนข้างมากเกินไป และผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาจจะไม่ได้มากขนาดที่ตลาดสะท้อนออกมา ส่วนตัวเชื่อว่าการร่วงลงมาน่าจะเป็นโอกาสมากกว่า ซึ่งหากทางการจีนเริ่มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ลดดอกเบี้ย อัดฉีดสภาพคล่อง และจูงใจให้กองทุนเข้ามาลงทุน เชื่อว่าตลาดจะฟื้นได้เร็ว”
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP