ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งแรง! หลายๆ ตลาดทำ All time high ไม่พัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นออสเตรเลีย แม้แต่ตลาดเกิดใหม่ทั้งจีน เวียดนามดีดเด้งทำนิวไฮกันเป็นว่าเล่น
จริงๆ ปัจจัยสำคัญตอนนี้ นักลงทุนต้องจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 17-18 กันยายนที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ว่า จะมีการ ‘ลดดอกเบี้ย’ หรือไม่ ขณะที่ล่าสุด ‘Jerome Powell’ ประธาน Fed ออกมาส่งสัญญาณค่อนข้างชัดแล้วว่า ‘มีโอกาสเกิดขึ้นจริง’ ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.25%-4.50%
ขณะเดียวกันการที่ Fed ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินได้ช่วยลดแรงกดดันจากเงินทุนไหลออก ทำให้ Fund Flow ต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาตลาดหุ้นอีกครั้ง
แต่ก็มีปมอยู่ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ PCE ที่ Fed ชอบดูที่สุดอยู่ที่ +2.6% ในเดือนกรกฎาคม แม้จะตรงตามที่ตลาดคาคแต่ก็เป็นเลขที่ขยายตัวมากที่สุดในรอบ 4 เดือน คำถามสำคัญที่ตามมา ‘Fed จะยังลดดอกเบี้ยหรือไม่ และจะลดเท่าไร?’ เราต้องจับตาดูกันครับ
เพราะหาก Fed ลดดอกเบี้ยมากกว่าหนึ่งครั้งในปีนี้หรือปีหน้า จะทำให้เงินลงทุนต่างชาติ (fund flow) ไหลออกจากพันธบัตรสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ ซึ่งช่วงที่ผ่านมา เม็ดเงินที่พักอยู่ในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 7 ล้านล้านดอลลาร์
ทุกคนคงสงสัย ตลาดหุ้นพุ่งแรงรับข่าวคาดหวัง Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ หลังจากนั้นจะเสี่ยงเกิดสัญญาณฟองสบู่ใกล้แตก หรือแค่เกิด sell on fact หรือจริงๆ แล้ว ยังไปต่ออีก!! บรรยากาศตลาดจะเป็นหมีหรือกระทิงกันแน่ หรือควรจะไปลงทุนตลาดไหนดี แล้วช่วงที่หุ้นสหรัฐฯ กระทิงเป็นโอกาสทองในการ Rebalance อย่างไรกันแน่ จัดพอร์ตอย่างไรให้บาลานซ์ความเสี่ยงไปพร้อมๆ กับสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตไปต่อ…รอดทุกสถานการณ์ ผมมีคำตอบให้ครับ
ชั่วโมงนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร้อนแรงเกินต้าน เมื่อ Dow Jones พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งทะลุระดับ 6,500 จุด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และส่งผลให้ผลตอบแทน YTD (Year to Date) ของดัชนี S&P 500 (1 ม.ค. – 22 ส.ค. 68) +10.20% รวมถึง Nasdaq เองก็ปรับตัวขึ้นตามเช่นกัน
ถ้าดู Valuation หุ้นสหรัฐฯ ในตอนนี้ P/E ของ S&P 500 ประมาณ 21-23 เท่า Nasdaq มากกว่า 30 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวมาก Market Cap/GDP สูงกว่า 160% สูงกว่า Buffett Indicator ที่เตือนฟองสบู่มากกว่า 120% และ P/B ก็อยู่ที่ 4 เท่า เป็นระดับที่สูงโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
มุมมองของ ‘Thomas Lee’ จาก Fundstrat ประเมินว่า รอบนี้ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐฯ’ อาจเป็นขาขึ้นไปได้ยาวอีก 10 ปี จนถึงปี 2035 และจะเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของนักลงทุน
แต่จริงๆ แล้ว ไม่มีใครคาดเดาสถานการณ์ต่างๆ ได้ล่วงหน้าหรอกครับว่าจะไปต่อหรือพักก่อน นั่นก็เพราะว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ +50% และปีนี้บวกต่ออีกประมาณ 10% รวมกันพุ่งขึ้นไปถึง 60% ความเสี่ยงย่อมเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
‘Howard Marks’ เตือนว่า หุ้นสหรัฐฯ ‘อาจอยู่ในช่วงเริ่มต้นฟองสบู่’ แต่แรงหนุนจาก AI ยังช่วยเพิ่มรายได้และลดต้นทุนให้บริษัทใหญ่ โดยผลประกอบการในไตรมาส 2 นี้ ของบริษัทจดทะเบียนใน S&P 500 กว่า 80% ดีกว่าคาด ส่วน Sentiment ยังบวก
ปรากฏการณ์ AI Boom จะเป็นแรงดันสำคัญที่ทำให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นอีก +20% ภายในสิ้นปี 2026
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Market Prediction ของ Jitta Wealth ล่าสุด เดือน ส.ค. ชี้ว่า ตลาดสหรัฐฯ มีจำนวนหุ้นถูกลดลงเหลือเพียง 20 ตัว จาก 50 ตัวเด่นในตลาด ดังนั้น การเลือกหุ้นสหรัฐฯ ให้ถูกตัวทำได้ยากขึ้น และควรเลี่ยงการใช้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อหุ้น (Margin Loan) เพื่อลดความเสี่ยงเนื่องจากตลาดอยู่ระดับแพงมากแล้ว
ส่วนตลาดเอเชีย นำโดยตลาดหุ้นจีนที่มีขนาดใหญ่สุดของฝั่งนี้ ช่วงครึ่งปีหลังตลาดกลับมาร้อนแรงอีกครั้งหลังจากที่ทำนักลงทุนติดดอยกันมาหลายปีก่อน
ดัชนี SSE (Shanghai Stock Exchange) ปรับขึ้นมาแล้ว 19.03% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2568 (YTD) SSE ยังทำ New High ต่อเนื่องที่ระดับ 3,883.56 จุด สูงสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 โดยปรับเพิ่มขึ้นราว 11% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน
ดัชนี CSI 300 (Shanghai Shenzhen CSI 300) ที่เป็นศูนย์รวมหุ้นจีนยักษ์ใหญ่ ยังทำ New High ต่อเนื่องที่ระดับ 4,469.22 จุดสูงสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 โดยผลตอบแทน YTD ของดัชนี CSI 300 (1 ม.ค. – 22 ส.ค. 68) +14.60%
หุ้นจีนทะยานขึ้นทำจุดสุดสูงใหม่ (New High) ในรอบ 10 ปี สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดโลกและคำถามที่นักลงทุนส่วนใหญ่สงสัยก็คือตอนนี้หุ้นจีนยังลงทุนได้อยู่หรือไม่?
ถ้าดู Valuation ของ CSI 300 ค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 14 เท่า ส่วน SSE มีค่า P/E ประมาณ 13 เท่า ยังค่อนข้างต่ำ ขณะที่ Market Cap/GDP ประมาณ 70-80% อยู่ต่ำกว่าค่าเตือนฟองสบู่ของ Buffett Indicator ส่วน P/B ประมาณ 1.5 เท่า
การดีดขึ้นของดัชนีหุ้นจีนในครั้งนี้ ส่วนตัวผมมองว่าไม่ได้สะท้อนถึงการแพงเกินจริง แต่เป็นการ ‘กลับมาใกล้เคียงมูลค่าที่ควรจะเป็น’ มากกว่าหลังจากที่หลายปีที่ผ่านมา…ตลาดหุ้นจีนเป็นวัฏจักรขาลงเพราะต้องเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และความไม่แน่นอนด้านนโยบายของภาครัฐโดยเฉพาะช่วงจัดระเบียบธุรกิจเทคโนโลยีใหม่
แต่ทว่าปี 2568 ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป ตลาดสามารถทำจุดสูงสุดแม้มีสัญญาณเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ เรามาดูปัจจัยบวกที่ขับเคลื่อนตลาดส่งสัญญาณดีขึ้นเรื่อยๆ กันครับ
จริงๆ รัฐบาลจีนกำลังดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและรับมือกับภาวะชะลอตัวในปีนี้อยู่ครับ
- นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อเยียวยาเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้ดำเนินมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยและลดอัตราส่วนเงินฝากสำรอง (RRR) ในต้นเดือนพฤษภาคม 2025 เพื่อฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบและสนับสนุนตลาดหลักทรัพย์และการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจากข้อมูลเพิ่มเติม มีการออกพันธบัตรพิเศษเป็นวงเงินรวมสูงถึง 11.2 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 10% ของ GDP — เพื่อนำมาใช้จ่ายด้านสวัสดิการ ประชาชน และโครงสร้างพื้นฐาน
- สนับสนุนตลาดหุ้นและสถาบันการเงิน เช่น การให้สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (NBFI) แลกเปลี่ยนพันธบัตรหรือ ETF เพื่อดึงสภาพคล่องเข้าตลาดหุ้น ตลอดจนสนับสนุนการทำ ‘market-making’
- ส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศมีทั้งมาตรการ ‘trade-in’ หรือการแลกคืนสินค้าเก่าเพื่อซื้อสินค้าใหม่ และส่งเสริมการซื้อสินค้าดิจิทัล เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในภาคครัวเรือน, มาตรการสนับสนุนผู้บริโภค เช่น การแจกเงินให้พนักงานรัฐ หลายล้านคนในรูปของเบี้ยเลี้ยงครั้งเดียว (one-off payout) มูลค่าราว 12-20 พันล้านดอลลาร์เหมือนเป็น ‘shot’ กระตุ้นเศรษฐกิจ, แนวคิด ‘Dual circulation’ ให้ความสำคัญกับการผลักดันตลาดภายในควบคู่กับการค้าระหว่างประเทศเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจระยะยาว
- ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว รัฐบาลจีนยังคงเดินหน้าแนวทาง ‘Made in China 2025’ เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ พัฒนาภาคอุตสาหกรรม-เทคโนโลยีภายในประเทศ และยังสนับสนุนการพัฒนาเขตเมืองใหม่ (new urbanization) และการปฏิรูประบบ hukou เพื่อเพิ่มการบริโภค และลดการเก็บออมสำรองของแรงงานย้ายถิ่น อีกทั้งเพิ่มการลงทุนด้าน R&D และการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศให้เข้มแข็งขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว
- ขาขึ้นของหุ้นเทคโนโลยี & AI ของบริษัทเทค ได้แรงส่งจากแนวโน้ม AI ของบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Baidu, DeepSeek, Tencent) ยังส่งผลบวกต่อภาพรวมตลาด อีกทั้งผลประกอบการที่ออกมา อาทิ Alibaba โชว์รายได้จาก AI เติบโตแบบ ‘ตัวเลขสามหลัก’ ดันราคาหุ้นพุ่งแรง 19%
- ค่าเงินหยวนแข็งค่า ซึ่งเป็นการแข็งค่าสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่ยุคเลือกตั้งของทรัมป์ สนับสนุนการส่งออกและสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นจีนกลับมาอีกครั้ง
ขณะที่จีนยังมีสัญญาณทางเศรษฐกิจอ่อนแอในปีนี้ ล่าสุด ผลประกอบการภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมยังหดตัว ร่วงลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และสภาพกำไรภาคอุตสาหกรรมโดยรวมยังไม่ฟื้นตัว แม้มีมาตรการกระตุ้น ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตในเดือนสิงหาคมยังคงต่ำกว่า 50 ที่ระดับ 49.4 บ่งชี้ถึงการหดตัวของกิจกรรมโรงงาน ขณะที่ภาคบริการ/ก่อสร้างยังพอขยายตัวเล็กน้อย ดัชนี Composite PMI อยู่ที่ 50.5
แนวโน้มเศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในช่วงที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย แม้จะมีความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ แต่การฟื้นตัวยังคงต้องใช้เวลา โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความอ่อนแอของตัวชี้วัดภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และอัตราว่างงาน อย่างไรก็ตาม การส่งออกยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน แม้จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ขณะเดียวกัน จีนกำลังปรับกลยุทธ์การเติบโต โดยเน้นพึ่งพาตนเองมากขึ้น และลดพึ่งพาการนำเข้า
ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีน ในครึ่งปีแรก 2025 เติบโตราว 5.3% YoY แต่หลายสถาบันประเมินว่าการเติบโตทั้งปีจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยครึ่งแรกเพราะมีแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก ภาคอสังหาฯ อ่อนตัว และกำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ส่วนการส่งออกที่ดีในช่วงต้นปี เช่น การส่งออกล่วงหน้า (front-loading) รองรับผลกระทบจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ แต่คาดว่าจะหดหายไปในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมาย GDP เติบโต 5% ด้าน IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP เติบโต 4.8% ในปีนี้ ขณะที่ Moody’s ปรับคาดการณ์ลงมาเหลือ 3.8 % เนื่องจากความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศและปัญหาเศรษฐกิจโลก
แน่นอนว่า แม้ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของกระแสเงินทุนและพฤติกรรมนักลงทุน โดยนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนประกันและกองทุนรวม กำลังเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผลตอบแทนเงินฝากธนาคารต่ำ ขณะที่เงินออมภาคครัวเรือนมหาศาล โดยครัวเรือนจีนมีเงินออมรวมสูงเป็นประวัติการณ์ ประมาณ 160 ล้านล้านหยวน และเริ่มหันมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น ขณะที่การใช้มาร์จิ้นในการซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ 2.29 ล้านล้านหยวน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความกระตือรือร้นของนักลงทุน ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเงินทุนหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนแม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มที่ดี
ทั้ง Goldman Sachs และ JPMorgan ยังมองมุมบวก โดย JPMorgan คาดการณ์หุ้นจีนว่า จะให้ผลตอบแทนถึง 35% ในปี 2026 ด้าน Goldman Sachs แม้จะได้ปรับลดคาดการณ์ GDP จีนลงก็ตาม แต่ยังชี้ว่าหุ้นจีนมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องและคาดการณ์ว่าจะให้ผลตอบแทน 10–12% ภายในปีนี้
ข้อมูลวิเคราะห์จาก Market Prediction ของ Jitta Wealth ณ วันที่ 25 ส.ค. 2568 หุ้นจีนที่ดีที่สุด 50 ตัวแรก มีหุ้นถูกจำนวนมากถึง 44 ตัว เท่ากับมีจำนวนหุ้นถูกสูงถึง 7.33 เท่า
ตลาดหุ้นฮ่องกง และที่ต่างชาติเลือกลงทุนหุ้นจีนมากกว่า พบว่า มีหุ้นถูก 33 ตัว หุ้นแพง 17 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ 1.94 เท่า รอบนี้อาจเป็นสัญญาณว่า ‘โอกาสขาขึ้น’ (Upside) ในการเข้าลงทุนหุ้นจีนยังมี
สำหรับปัจจัยสงครามการค้า ว่าด้วยการเจรจาดีลการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อยู่ระหว่างรอความชัดเจนในไม่กี่เดือนข้างหน้า ผมเชื่อว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดได้ผ่านไปแล้วหลังจากเดือนเมษายนที่ต่างใช้ภาษีตอบโต (Reciprocal Tariffs) ที่ระดับ 125% – 145% ตามลำดับ ยกเว้นแต่จะมีประเด็นใหม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่มีใครควบคุมได้ ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญในการลงทุนทั้งสองตลาดใหญ่ของโลกครับ แต่ทั้งสองตลาดนี้ก็เป็นเบอร์หนึ่งและเบอร์สองของโลกที่นักลงทุนให้น้ำหนักกระจายลงทุนติดไว้ในพอร์ต
ในช่วงจังหวะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร้อนแรงจัด ผมแนะนำให้นักลงทุนสำรวจพอร์ตและจัด Asset Allocation ให้เหมาะสมด้วยกลยุทธ์ Core & Satellite โดยพอร์ต Core ลงทุนกระจายทั่วโลก ประมาณ 80% และส่วน Satellite 20% ของพอร์ตรวม ถือเป็นสูตรมาตรฐานที่นิยมใช้กัน และมาพร้อมกับการหมั่นทบทวนพอร์ตเป็นระยะๆ เพื่อทำ Rebalance พอร์ตให้สมดุล เมื่อไหร่ที่พอร์ตหุ้นมีสัดส่วนเกินน้ำหนักที่ตั้งกรอบลงทุนไว้ ควรจะขายส่วนที่มีกำไรบางส่วนออก เพื่อปรับน้ำหนักกลับมาอยู่ในกรอบที่ตั้งไว้ และนำเงินส่วนที่ขายโยกไปลงทุนในตลาดหุ้นที่มีโอกาสคว้ากำไร
ณ เวลานี้ พอร์ต Satellite เป็นพอร์ตที่เลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่กำลังเป็นขาขึ้นเพื่อคว้าโอกาสทองได้ครับ ซึ่งตลาดหุ้นจีนเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าสนใจ สำหรับใครที่ยังไม่มีหุ้นจีนติดพอร์ตอยู่ อาจจะใช้จังหวะที่หุ้นจีนปรับตัวลดลงบ้าง อย่างในช่วงนี้ที่เราอาจจะได้เห็นข่าวว่าภาคทางการจีนกำลังพิจารณาออกมาตรการชะลอความร้อนแรงในตลาดหุ้นเพื่อสร้างเสถียรภาพให้ตลาด ซึ่งอาจจะได้เห็นตลาดหุ้นจีนย่อตัวลงได้บ้าง เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เข้าสะสม โดยเฉพาะหากคุณมีพอร์ต Core ที่มีอยู่กำลังสร้างผลตอบแทนพุ่งแรง ผมแนะนำให้ดูว่า น้ำหนักในพอร์ต Core ยังอยู่ในสัดส่วน 80% หรือเกินแล้ว หากน้ำหนักเกินที่ตั้งไว้ ผมแนะนำให้ขายทำกำไรเพื่อนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีอนาคตเติบโตครับ โดยเฉพาะหุ้นจีนที่คุณสามารถติดใส่ในพอร์ต Satellite หากคุณเชื่อมั่นตลาดหุ้นจีนมีสัญญาณไปต่อ
แต่หากคุณกังวลว่าตลาดหุ้นจีนขึ้นแรงในสภาวะเศรษฐกิจยังอ่อนแอ ผมแนะนำให้เลือกเป็น Sector หรือธีม เช่น จีน A-share กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก AI ปลายน้ำ เทคโนโลยีจีน พลังงานสะอาดจีน บริการสุขภาพจีน ทั้งนี้ทั้งนั้น เงินลงทุนในพอร์ตรองนี้ ไม่ควรเกินสัดส่วน 20% ครับ นั่นหมายถึงในพอร์ตหากมีสินทรัพย์ใดที่มีกำไรอยู่ก่อนแล้วและอยากขายทำกำไร แนะนำให้ขายล็อกกำไรไว้ก่อน และค่อยเลือกจะลงทุนหุ้นจีนหรือกลุ่มอุตสาหกรรม หรือลงทุนสินทรัพย์ที่คุณมั่นใจว่ามีโอกาสคว้ากำไรได้แน่ๆ ครับ
สิ่งสำคัญที่สุดของการลงทุน คือ กระจายความเสี่ยงเพื่อบาลานซ์พอร์ตให้ผลตอบแทนเติบโตต่อเนื่อง และเป็นการลงทุนในแบบที่ทำให้คุณ ‘หลับได้’ สบายใจ
แต่ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงมาคู่กันเสมอครับ ผมมีคาถาให้สำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ นักลงทุนชื่อดังของโลก ‘Peter Lynch’ เคยกล่าวไว้ว่า “เวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหุ้น คือเวลาที่เราหาเหตุผลที่ดีที่สุดได้ เวลาที่ขายหุ้นคือ เวลาที่เหตุผลนั้นหมดไปแล้ว” นั่นก็คือ เมื่อซื้อเป็นต้องขายเป็นและหากลงทุนในระยะยาวไม่เกิดผลตามเป้าหมาย หรือไร้ปัจจัยพื้นฐานรองรับหากถือต่อไปไม่มีอนาคต คุณต้องตัดสินใจตัดขาดทุนเป็นด้วยนะครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากจะลงทุนตามเหล่าเซียนหุ้นคนเก่งทั้งหลาย คุณต้องศึกษาหาความรู้เชิงลึกในแต่ละประเภทสินทรัพย์ที่จะลงทุน เพราะหุ้นไม่ได้ขึ้นทุกๆ ปีอยู่แล้ว หากจะไปลงทุนหุ้นรายประเทศ ต้องดูสถิติย้อนหลังวัฏจักรขาขึ้นขาลงเป็นอย่างไร
การทำการบ้านศึกษาข้อมูลเชิงลึกก่อนตัดสินใจซื้อสินทรัพย์ใดๆ จะทำให้คุณมีชัยไปกว่าครึ่ง แม้แต่ช่วงก่อนขายก็เช่นกันต้องทำการบ้านว่า สินทรัพย์ที่ถืออยู่นั้น ยังดีมีคุณภาพอยู่หรือไม่ หากยังมีคุณภาพดี ต้องการขายล็อกกำไรออกมาก่อน ก็สามารถขายบางส่วนได้ครับ คุณไม่จำเป็นต้องขายทั้งหมด ดังนั้น ไม่ว่าจะ Rebalance พอร์ตอย่างไร ก็ให้ยึดหลักการจัดพอร์ต Core & Satellite ไว้ครับ
เพราะแม้แต่คุณปู่ ‘Warren Buffett’ นักลงทุนในตำนานที่ยังมีลมหายใจ ยังบอกว่า ‘Never bet against America’ ไม่ว่าตลาดจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ควรแทงสวนตลาดหุ้นอเมริกา เพราะตราบใดที่สหรัฐฯ ยังเป็นเบอร์หนึ่งของโลก คุณควรจะร่วมวงเติบโตไปกับอเมริกา แม้หากวันใดที่ฟองสบู่แตกก็ตาม แต่สถิติในประวัติศาสตร์ ดัชนี S&P 500 ได้ทำ All Time High มาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 1988-2023 และหลังจาก All Time High จะมีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 13-14% หมายถึงว่าหลังทำสถิติสูงสุดในปีไหนไปแล้ว ตลาดก็ยังมีโมเมนตัมขึ้นต่อได้อีกเล็กน้อยเป็นเรื่องของความมั่นใจการลงทุน แต่บางปีก็มีปรับตัวตกลงมาราว 30%-50% ก็ได้เช่นกัน
คนที่จะลงทุนด้วยตัวเอง จำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ให้รอบด้านและดูผลตอบแทนที่ดี ภายใต้ความเสี่ยงที่รับไหวแบบถามตัวเองว่า ถ้าขาดทุนเท่านี้ คุณนอนหลับสบายใจไหม หากคำตอบว่า เครียด ก็แปลว่า รับเสี่ยงไม่ไหวก็อย่าฝืนครับ เพราะนี่คือปัจจัยสำคัญที่คุณควบคุมได้และช่วยให้การลงทุนประสบความสำเร็จครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอฝากสิ่งที่คุณปู่ Buffett เน้นย้ำกับนักลงทุน คือ “วินัย ความอดทน และการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว”