การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนระยะยาว แต่ถ้าเราดันไปลงทุนระยะยาวในเศรษฐกิจที่ไม่โตหรือกำลังถดถอย การลงทุนระยะยาวอาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำลายผลตอบแทนของเราแทนที่จะสร้างกำไรก็เป็นได้
ดังนั้นไม่ว่าจะลงทุนประเทศไหน หรืออุตสาหกรรมอะไร สิ่งที่ต้องดูเป็นหลักคือรวมๆ แล้ว สิ่งที่เรากำลังจะลงทุนนั้นมีอัตราการเติบโตเท่าไร? เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ถ้าการเติบโตมันสูงและคุ้มค่าต่อความเสี่ยง มันก็น่าเสี่ยง จริงไหมครับ? และการเติบโตนี่แหละที่เป็นเหตุผลหลักที่ผมตัดสินใจลงทุนระยะยาวในประเทศจีน
ณ วันที่ผมเขียนบทความนี้ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ประเทศจีนเป็นประเทศเป็นประเทศที่มีการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในโลก 1.85% เทียบกับสหรัฐฯ ที่ -4.27% จีนยังเติบโตได้แม้ต้องเผชิญกับวิกฤต COVID-19 ที่ 100 ปีจะมีซักครั้ง
IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจของจีนจะเติบโตมากถึง 8.2% ในปี 2021 จากการบริโภคที่กลับมาเติบโตสูงอีกครั้งหลังผ่านการล็อกดาวน์ การลงทุนในจีนจะเป็นที่ที่มีโอกาสมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ในเชิงโครงสร้าง จีนยังมีโครงสร้างความมั่งคั่งที่น่าสนใจ แม้ประเทศจีนจะมีมหาเศรษฐีมากมาย มากกว่าสหรัฐฯ และอินเดียรวมกัน แต่ประเทศจีนยังเป็นประเทศที่มีคนรายได้ต่ำมากกว่า 600 ล้านคน ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นมานับว่ายังมีอัปไซด์การเติบโตอีกมาก ฐานชนชั้นกลางจะมากขึ้น และการบริโภคภายในประเทศจะตามมา
ในมุมของนโยบายทางการเงิน People’s Bank of China (PBOC) เพิ่งประกาศออกมาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมาว่าจะใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะมีสภาพคล่องเพียงพอ เพื่อให้ปริมาณเงินในระบบและการเติบโตอยู่ในระดับที่เหมาะสม นอกจากนั้นยังมีพูดถึงการให้สินเชื่อกับธุรกิจขนาดเล็กและ SMEs ด้วย
สิ่งที่ทำให้จีนต้องทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ มุมหนึ่งเพราะจีนต้องการเปิดประเทศ เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและ Know-How ต่างๆ เข้าประเทศ ผมคิดว่าจีนรู้ตัวดีว่าเสียเปรียบสหรัฐฯ ตรงไหนบ้าง ดังนั้นในชั่วโมงนี้จีนจะต้องทำทุกอย่างให้เต็มกำลัง เพื่อการก้าวเป็นประเทศมหาอำนาจและเป็นผู้นำของโลกแทนสหรัฐฯ
และการขึ้นเป็นผู้นำของจีนที่เคยคิดกันวันต้องใช้เวลากว่า 20-30 ปี ณ วันนี้ The Centre for Economics and Business Research (CEBR) ออกมาประเมินแล้วว่าจะใช้เวลาเพียง 7 ปีเท่านั้น เหตุผลมาจากการจัดการการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำได้ดีกว่าสหรัฐฯ มาก
ทั้งหมดนี้คือบทสรุปของ Story คร่าวๆ ของเศรษฐกิจจีน ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมมองว่าจีนคือหนึ่งในตัวเลือกการเติบโตที่ดีที่สุดในการลงทุนกองทุน
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของจีนเองก็มีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Shadow Banking, เรื่องหนี้ที่มหาศาล และระบบการปกครองที่ไม่เหมือนใครของจีน แต่การที่เราไม่เข้าใจจีนไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่จีนทำมันผิด ผมเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าการจะดูแลคนกว่า 1,300 ล้านคนที่มีความแตกต่างกันมหาศาลจะใช้ Playbook เดียวกับประเทศอื่นๆ ไม่ได้
ความเสี่ยงอีกอย่างของประเทศจีนคือ อำนาจของรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอำนาจเด็ดขาด อย่างเร็วๆ นี้ก็มีการ Crack Down กับธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน อย่าง Alibaba และ Tencent ส่งผลให้กองทุนหุ้นจีนหลายๆ กองราคาตกลงมาอย่างรวดเร็ว
ในประเด็นนี้ผมเชื่อว่าสุดท้ายคนที่เข้าใจประเทศจีนมากที่สุดก็คือคนจีนด้วยกันเอง แจ็ค หม่ารู้อยู่แล้วว่าเมืองจีนเป็นอย่างไร สุดท้ายก็จะปรับบริษัทตาม และทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ
เหตุการณ์ประมาณนี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับอุตสาหกรรมเกมเมื่อ 2 ปีก่อน และอุตสาหกรรมติวเตอร์ออนไลน์เมื่อปีก่อน พอมีการประกาศกฎหมายใหม่ที่มีแนวโน้มทำให้บริษัทเหล่านี้เสียเปรียบ หุ้นก็จะตกลงมาอย่างหนัก อย่างไรก็ตามบริษัทที่เก่งก็ยังคงเก่ง บริษัทสามารถปรับตัว เปลี่ยนวิธีการทำงาน ปรับนโยบายบริษัทให้ตรงกับนโยบายแห่งชาติของประเทศจีน มันอาจจะใช้เวลา แต่สุดท้ายหุ้นทุกตัวก็กลับมาทำราคาสูงสุดใหม่ได้แทบทั้งหมด
อยากลงทุนในประเทศจีนก็ต้องเข้าใจว่าจีนเป็นอย่างไร และเหตุการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ เพราะธรรมชาติการปกครองของจีนไม่เหมือนประเทศอื่น
ส่วนถ้าใครที่สนใจอยากลงทุนในประเทศจีน ต้องรู้ด้วยว่าการลงทุนหุ้นจีนนั้นมีหลัก 3 แบบด้วยกัน คือหุ้นจีน H-Share ที่อยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกง, หุ้นจีน A-Share ที่อยู่ในตลาดหุ้นจีน และหุ้นจีน ADRs ที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ละประเภทมีโอกาสและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน เวลาเลือกกองทุนก็ต้องดูด้วยว่าเป็นหุ้นจีนของที่ไหนบ้าง
ถ้าอยากได้หุ้นจีนเทคโนโลยีขนาดใหญ่แบบ Alibaba หรือ TAL Education อาจจะต้องเลือกกองที่ลงทุนหุ้นจีนทั่วโลกอย่าง TMBCOF
ถ้าใครอยากเน้นหุ้นจีนที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ เปิดตลาดการเงินของประเทศจีน กองทุนที่ลงทุนในหุ้นจีน A-Share อย่าง KT-Ashares-A จะเหมาะสมกว่า เพราะเน้นลงทุนแต่หุ้นจีนที่อยู่ในตลาดจีน ตลาดนี้ก็จะมีหุ้นเด่นๆ เช่น ประกัน Ping An ของเจ้าสัวธนินท์, หุ้นที่ทำเครื่องปรุงและน้ำซุปส่งให้ร้านหม่าล่ารายใหญ่อย่าง Haidilao ก็อยู่ในตลาดนี้ แต่อันนี้ไม่มี Alibaba นะครับ ใครมาซื้อกองนี้แล้วคิดว่ามี Alibaba คือผิดนะ
สุดท้ายซื้อหุ้นจีนก็อยากได้การเติบโต แต่ถ้าอยากได้การเติบโตแบบโหดสุดๆ ไปเลย ผมอยากแนะนำกองทุนหุ้นจีนขนาดเล็ก WE-CHIG ที่เป็นการลงทุนในหุ้นเล็กที่โตเร็วอยู่แล้ว อารมณ์จะคล้ายๆ ASP-SME ที่ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของไทย แต่ WE-CHIG ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของจีนแทน
สุดท้ายหลายคนอาจจะมีคำถามอยู่ในใจลึกๆ ว่า ถ้าลงทุนในจีน ไปลงทุนในสหรัฐฯ ไม่ก็ยุโรปไม่ดีกว่าหรือ? ในมุมมองของผม ผมชอบลงทุนในผู้ท้าชิงมากกว่า เพราะที่ผ่านมาโลกมักจะอยู่ข้างของผู้ท้าชิงเสมอ ตั้งแต่ยุคฝรั่งเศสล่าอาณานิคมจนครองโลกได้ เปลี่ยนผ่านมาเป็นยุคจักรวรรดิรัสเซียที่กลายเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ 400 ปี หลังจากนั้นมาเจอ Industrial Revolution จักรวรรดิอังกฤษขึ้นครองอำนาจ ผ่านมาจนถึงยุค American Dream ที่สหรัฐฯ ครองอำนาจผ่านเศรษฐกิจและการค้าโลก
คำถามคืออีก 50-100 ปีข้างหน้า ประเทศไหนจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลก? แทนสหรัฐฯ หรือเทียบเคียงสหรัฐฯ นาทีนี้ผมไม่เห็นใครนอกจากจีน และมันน่าจะทำกำไรได้ไม่น้อย ถ้าเราได้ลงทุนในประเทศที่เป็นมหาอำนาจในอนาคต ในช่วงที่ประเทศนั้นยังไม่ได้เป็นมหาอำนาจ
การลงทุนหลายๆ ครั้งไม่ต้องคำนวณอะไรมาก ไม่ต้องมีวิธีล้ำลึก แต่ต้องใช้ Common Sense ให้เป็น บวกกับการศึกษาประวัติศาสตร์อีกนิดหน่อย และลงทุนยาวๆ ใจเย็นๆ กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียวฉันใด กำไรจากการลงทุนมากๆ ก็ไม่ได้มาในปีเดียวฉันนั้น จริงไหมครับ?
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล