เปิดข้อมูลการบินช่วง 3 นาทีสุดท้าย ไขปริศนาเครื่องบิน China Eastern Airlines โหม่งโลกแบบทิ้งดิ่ง

กรณีเที่ยวบิน MU5735 ของสายการบิน China Eastern Airlines ตกในแถบเทือกเขาเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตอนใต้ของจีน กลายเป็นปริศนาที่นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านการบินทั่วโลกตั้งข้อสงสัย หลังปรากฏภาพและข้อมูลในช่วงวินาทีที่เครื่องบินกำลังร่วงลงสู่พื้นโลกอย่างรวดเร็วในลักษณะ ‘ทิ้งดิ่ง’ หรือในภาษาอังกฤษที่เรียกว่า ‘Nosedive’ ซึ่งจมูกเครื่องบินจิกลงและพุ่งตกลงมาแบบหัวปัก

วิถีการตกของเครื่องบินที่ ‘ไม่ปกติ’ นี้ก่อให้เกิดคำถามมากมาย ซึ่งการค้นหาคำตอบจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แต่หลักๆ เชื่อว่าต้องอาศัยข้อมูลการบินในช่วงไม่กี่นาทีสุดท้ายก่อนที่เครื่องบินจะกระแทกพื้น ซึ่งอาจมีหลักฐานสำคัญบ่งชี้ว่าทำไมเครื่องบินจึงตกและทำไมถึงตกในลักษณะนี้?

ข้อมูลเที่ยวบินช่วง 3 นาทีสุดท้าย

เหตุโศกนาฏกรรมของเที่ยวบิน MU5735 เกิดขึ้นเหนือน่านฟ้าในเมืองอู๋โจว เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ช่วงเวลาประมาณ 14.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่เครื่องบินกำลังมุ่งหน้าไปยังนครกว่างโจว และมีกำหนดเดินทางถึงในเวลา 15.05 น.

FlightRadar24 เว็บไซต์ติดตามข้อมูลเที่ยวบินทั่วโลกแบบเรียลไทม์ เปิดเผยการวิเคราะห์ข้อมูลเส้นทางบินด้วยการรวบรวมข้อมูลคอมพิวเตอร์ของเที่ยวบิน MU5735 และแสดงให้เห็นการทำงานของเซ็นเซอร์เครื่องบินช่วงเวลาที่เกิดเหตุพบว่า หลังจากที่เครื่องบินสามารถรักษาการทรงตัวในระหว่างเปิดใช้ระบบนำร่องอัตโนมัติ หรือ Autopilot ปรากฏว่า เครื่องบินเกิดลดระดับลงอย่างกะทันหัน ก่อนที่อัตราการไต่ระดับความสูงของเครื่องบินจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งและลดลงอย่างรวดเร็วเป็นครั้งที่ 2

ข้อมูลนี้สัมพันธ์กับรายงานระดับความสูงของเครื่องบินซึ่งพบว่า เครื่องบิน ลดระดับเพดานบินจากความสูง 8,869 เมตร ลงมาอยู่ที่ 2,766 เมตร ภายในเวลาเพียง 2 นาที 15 วินาที จากนั้นที่ระดับความสูง 2,263 เมตร เครื่องบินดูเหมือนพยายามจะทรงตัวและดึงเครื่องขึ้นราว 10-20 วินาที ก่อนที่จะร่วงลงอีกครั้ง ซึ่งข้อมูลสุดท้ายที่บันทึกไว้จนถึงเวลา 14.22 น. พบว่า เครื่องบินร่วงลงมาอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 982 เมตร

จากข้อมูลเที่ยวบินดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า อาจมีความพยายามในการต่อสู้เพื่อควบคุมเครื่องบินให้ทรงตัวและไต่ระดับขึ้น แต่ไม่สำเร็จ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นนักบินที่พยายามจะควบคุมเครื่องบินด้วยตนเองหรือไม่

นีล แฮนส์ฟอร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินในรัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย เปิดเผยต่อสำนักข่าว 9News โดยชี้ว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เครื่องบินจะร่วงลงมาแบบทิ้งดิ่งเช่นนี้ ยกเว้นเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง เช่น ปีกเครื่องบินหลุด

“นี่มันเป็นการพุ่งตกลงไปแบบตรงๆ มันเป็นไปได้เมื่อเกิดจากสาเหตุที่มีการโจมตีเครื่องบินด้วยคำสั่งทางทหาร หรือนักบินถูกแทรกแซง หรือเกิดการชนกันของเครื่องบิน”

ชิ้นส่วนสำคัญที่อาจไขปริศนา

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า ชิ้นส่วนสำคัญที่อาจไขปริศนาการตกของเที่ยวบิน MU5735 คือแม่แรงในแผ่นพื้นบังคับที่ควบคุมการยกหัวเครื่องบินขึ้นหรือลง ที่เรียกว่า Elevator Trim Jackscrew ซึ่งอยู่ในส่วนหางเครื่องบิน

ฮวน บราวน์ นักบินเครื่องบิน Boeing 777 และบล็อกเกอร์ด้านการบิน กล่าวว่า อุปกรณ์ Elevator Trim Jackscrew จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สืบสวน สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเครื่องบินจึงร่วงลงแบบจิกหัวลงจนเกือบจะเป็นแนวตั้ง

บราวน์ชี้ว่า แม้เครื่องบินจะร่วงลงในลักษะนี้ แต่ปีกของเครื่องบินนั้นควรที่จะช่วยยกเครื่องบินไม่ให้อยู่ในลักษณะที่พุ่งตกแบบหันหัวลงมา เนื่องจากเครื่องบินมีการสะสมความเร็วที่มากขึ้นระหว่างร่วงลง

เขายังมองว่า มีเพียงชิ้นส่วนเดียวที่สามารถทำให้เครื่องบินอยู่ในแนวดิ่งเช่นนั้นและทำให้มันร่วงลงในลักษณะนั้นได้คือ แผ่นควบคุมการยกหัวเครื่องบินขึ้นลง (Elevator) และพื้นบังคับเพื่อปรับการทรงตัวของเครื่องบิน (Stabiliser Trim) ซึ่งบราวน์ระบุว่า ตัวปรับ Elevator นั้นอาจถูกล็อกให้อยู่ในลักษณะที่ทำให้เครื่องบินหันหัวลงแบบทิ้งดิ่งดังกล่าว

“หากคุณสามารถหาได้ว่าเกลียวของแม่แรง (ใน Elevator) อยู่ตรงจุดไหน คุณก็จะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวปรับการทรงตัวของเครื่องบิน”

ขณะที่การเก็บกู้กล่องดำของเครื่องบินที่บันทึกข้อมูลในห้องนักบินและข้อมูลเที่ยวบินจะทำให้รู้ว่านักบินทำอะไรและเกิดอะไรขึ้นในช่วงวินาทีที่เครื่องบินลดระดับเพดานบิน ซึ่งอาจช่วยไขปริศนาการตกของเครื่องบินได้

เกิดอะไรขึ้นบ้างกับนักบินและผู้โดยสารก่อนเครื่องบินตก

จากข้อมูลเที่ยวบินที่มีรายงานในตอนนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนักบินและผู้โดยสารในช่วง 3 นาทีที่เครื่องบินพุ่งลงมาและลดระดับความสูงอย่างรวดเร็ว

ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินรายหนึ่งเปิดเผยต่อเว็บไซต์ข่าว News.com.au ของออสเตรเลียว่า ในช่วงเกิดเหตุซึ่งระดับความสูงของเครื่องบินลดลงอย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้ทั้งผู้โดยสารและลูกเรือหมดสติ ในขณะที่นักบินไม่สามารถควบคุมเครื่องบินได้

แซลลี เกธิน นักวิเคราะห์ด้านการบิน ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ The Sun ของอังกฤษว่า แรงโน้มถ่วงในระหว่างที่เครื่องบินร่วงลงจากระดับความสูง 6,000 เมตร จะส่งผลให้นักบินหมดสติ ซึ่งข้อมูลเที่ยวบินที่แสดงให้เห็นว่า มีช่วงที่เครื่องบินพยายามทรงตัวและไต่ระดับความสูงขึ้นราว 10-20 วินาที อาจเป็นไปได้ว่านักบินคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนเกิดฟื้นขึ้นมาและพยายามจะควบคุมและดึงเครื่องบินขึ้น แต่ไม่สำเร็จ

เกธินมองว่า ยังเร็วเกินไปที่จะคาดเดาถึงสาเหตุการตกที่แน่ชัดของเที่ยวบิน MU5735 ซึ่งใช้เครื่องบิน Boeing รุ่น 737-800 โดยผลจากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ทำให้สายการบิน China Eastern Airlines ตัดสินใจระงับการใช้งานเครื่องบินรุ่น Boeing 737 ทั้งหมด ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงข้อกังวลด้านความปลอดภัยของ China Eastern Airlines ที่มีต่อเครื่องบินรุ่นนี้

ซึ่งที่ผ่านมาเครื่องบิน Boeing รุ่น 737-800 นั้นมีประวัติความปลอดภัยที่ค่อนข้างดีและมีการใช้งานในสายการบินทั่วโลกหลายพันลำ โดยเฉพาะในจีนนั้นมีใช้งานมากกว่า 1,000 ลำ

ผู้เชี่ยวชาญชี้ เครื่องบินยากที่จะตก

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญการบินมีความสงสัยเกี่ยวกับการตกของเที่ยวบิน MU5735 เนื่องจากพบว่า ช่วงก่อนเกิดเหตุนั้นเครื่องบินกำลังอยู่ในช่วง Cruise Phase หรือช่วงรักษาระดับความสูงในเส้นทางบิน

หลี่เสี่ยวจิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินของจีน ให้สัมภาษณ์กับ The Sun ว่า ในมุมมองทางเทคนิคเหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้น เนื่องจากปกติแล้วเครื่องบินที่อยู่ในช่วง Cruise Phase จะใช้ระบบ Autopilot ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ยากมากในการทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในเหตุการณ์นี้

ส่วนความผิดพลาดที่เกิดกับเครื่องยนต์นั้น อาร์เทอร์ โรว์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินในอังกฤษ มองว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้อง เนื่องจากเครื่องบินสามารถบินได้ดีโดยไม่ต้องมีกำลังเครื่องยนต์ในระยะเวลาที่จำกัด

อย่างไรก็ตาม โรว์มองว่า เครื่องบินนั้นดูเหมือนจะสูญเสียการควบคุม และมีความเป็นไปได้ในหลายสาเหตุ เช่น เกิดการติดขัดหรือไม่สามารถควบคุมในส่วนต่างๆ โดยเฉพาะส่วนหางของเครื่องบิน หรือแม้แต่ความผิดพลาดในการตั้งค่าระบบ Autopilot อย่างไม่เหมาะสม