The Wall Street Journal รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวว่า จีนเพิ่มความพยายามในการพึ่งพาตนเองในเทคโนโลยี โดยแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหยุดใช้ iPhone และอุปกรณ์แบรนด์ต่างประเทศอื่นๆ ในที่ทำงาน การเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจส่งสัญญาณที่จะสร้างปัญหาสำหรับ Apple ซึ่งถือว่าแดนมังกรเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุด โดยคิดเป็นประมาณ 19% ของรายได้ทั้งหมด
กลยุทธ์นี้สอดคล้องกับการที่ประเทศจีนให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความตึงเครียดกับสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้น
แม้ว่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่ Apple จะยอมปฏิบัติตามกฎหมายดิจิทัลที่เข้มงวดของจีนได้ โดยการลบแอปพลิเคชันหลายพันรายการออก แต่การเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดนี้อาจทำให้ยอดขายและภาพลักษณ์ของแบรนด์ Apple ลดลง
Apple กลายเป็นผู้เล่นอันดับต้นๆ ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อความสามารถของ Huawei ในการผลิตโทรศัพท์ 5G ที่สำคัญอย่าลืมว่า Apple ไม่ใช่แค่ขาย iPhone ในจีนเท่านั้น แต่ประเทศนี้ยังเป็นสถานที่ประกอบผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของ Apple ซึ่งทำให้เกิดงานนับล้าน
ประเทศจีนได้ผลักดันเทคโนโลยีภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ต้องการให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเองมาทดแทนเทคโนโลยีจากต่างประเทศในหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ยังมีคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการ และแม้แต่ยานพาหนะ เมื่อปีที่แล้วรัฐบาลจีนจำกัดการใช้รถยนต์ Tesla ในหมู่เจ้าหน้าที่ทหารและบริษัทของรัฐที่สำคัญ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับข้อมูลรั่วไหล
สิ่งที่น่าสนใจคือ ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการกระทำของสหรัฐอเมริกาที่ก่อนหน้านี้แบน เห็นได้ชัดว่ามหาอำนาจทั้งสองกำลังระมัดระวังมากขึ้น เกี่ยวกับวิธีที่อีกฝ่ายสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อการจารกรรมหรือการรั่วไหลของข้อมูล Huawei และ TikTok เนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติ
การสั่งห้ามเทคโนโลยีไปมานี้ส่งผลต่อความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ไม่นานมานี้จีนได้ปรับปรุงกฎหมายต่อต้านการจารกรรม และ สีจิ้นผิง ผู้นำของประเทศจีน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความมั่นคงของชาติ
ในขณะที่ทั้งสองประเทศมุ่งมั่นที่จะรักษาห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยีของตนให้ปลอดภัย ความกดดันก็ตกอยู่กับบริษัทที่อยู่ตรงกลาง เช่น Apple และ Huawei ในการปรับตัว สิ่งนี้ยังทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตของการค้าเทคโนโลยีระดับโลก
เพราะไม่ว่าประเทศอื่นๆ จะปฏิบัติตามและเลือกใช้เทคโนโลยีภายในประเทศมากกว่าแบรนด์ต่างประเทศหรือไม่นั้น ยังเป็นสิ่งที่ต้องรอดูต่อไป แต่ที่แน่ๆ นี่คือการปูทางไปสู่สงครามเย็นทางเทคโนโลยีรูปแบบใหม่อย่างแน่นอน
อ้างอิง: