เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคกลางยัน ปัญหาไข่ขาดแคลนเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ หลังทุกฝ่ายร่วมมือตรวจสอบการกักตุน แต่จากปัญหาภัยแล้งและอากาศร้อนในช่วงนี้อาจกระทบผลผลิต ขณะที่ทำต้นทุนค่าน้ำค่าไฟเพิ่ม
พเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง เปิดเผยถึงสถานการณ์ไข่ไก่ในขณะนี้ว่า ปัญหาไข่ไก่ขาดแคลนก่อนหน้านี้เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์เร่งตรวจสอบ จับกุม และดำเนินคดีกับผู้จำหน่ายไข่ไก่ทั่วประเทศที่ไม่ปิดป้ายแสดงราคา ขายไข่ไก่ในราคาแพง และมีพฤติกรรมกักตุนสินค้า ทำให้ผู้ค้าไม่กล้าฉกฉวยโอกาส และผู้บริโภคมีความเข้าใจในสถานการณ์และเริ่มซื้อไข่ไก่ในปริมาณที่เพียงพอกับการบริโภคในครัวเรือน
ทั้งนี้สมาคมฯ และเกษตรกรผู้เลี้ยงทุกคนยังคงร่วมมือกันบริหารจัดการการเลี้ยงอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้มีผลผลิตไข่ไก่เพียงพอกับการบริโภคของคนไทย และยืนยันว่าไข่ไก่จะไม่ขาดแคลน ตลอดจนกำชับให้สมาชิกสมาคมฯ ดูแลราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มให้เป็นไปตามที่ตกลงกับกระทรวงพาณิชย์คือไม่ให้เกิน 3 บาทต่อฟอง และเกษตรกรได้ยืดอายุแม่ไก่ไข่ยืนกรงออกไปตามที่แต่ละฟาร์มเห็นว่าเหมาะสม จากเดิมที่กำหนดให้ปลดแม่ไก่ยืนกรงที่อายุ 80 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มปริมาณไข่ไก่เข้าสู่ตลาดตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สั่งการ
“ปัจจุบันทุกภาคทั่วประเทศนอกจากจะเผชิญกับสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้แม่ไก่ให้ไข่ลดลงประมาณ 10-15% และอากาศเช่นนี้ส่วนใหญ่ไข่จะมีแต่ขนาดกลางถึงเล็กประมาณเบอร์ 3-4-5 เท่านั้น จากปกติมีไข่ไก่ 6 ขนาดคือ เบอร์ 0 ใหญ่สุด – เบอร์ 5 เล็กสุด ส่งผลให้เกษตรกรขายไข่ได้ราคาลดลงตามไปด้วย เมื่อผนวกกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากค่าน้ำที่ต้องซื้อ ซึ่งน้ำมีหลายราคาตามคุณภาพของน้ำ และยังมีค่าไฟที่เพิ่มขึ้นจากการต้องเปิดระบบน้ำพ่นฝอยเพื่อลดความร้อนภายในโรงเรือน รวมถึงระบบน้ำและพัดลมระบายอากาศของโรงเรือนอีแวป ช่วงนี้เกษตรกรทุกคนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากค่าน้ำค่าไฟที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5-10 สตางค์ต่อฟอง จึงขอให้ผู้บริโภคเข้าใจเกษตรกรด้วย” นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลางกล่าว
ทั้งนี้อากาศร้อนจัด โดยเฉพาะในบางพื้นที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ส่งผลให้แม่ไก่ไข่มีความเครียด กินอาหารได้น้อย และให้ผลผลิตไข่น้อยลงจากปกติ ที่สำคัญภาวะแล้งทำให้เกษตรกรหลายพื้นที่ต้องซื้อน้ำมาใช้ในฟาร์ม ทั้งเพื่อให้แม่ไก่กิน รวมถึงน้ำที่ใช้สำหรับฉีดพ่นละอองฝอยตามโรงเรือนเลี้ยงไก่และบนหลังคาโรงเรือน เพื่อลดความร้อนให้ไก่ไข่ได้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่ส่วนใหญ่เลี้ยงในโรงเรือนแบบเปิด จึงจำเป็นต้องใช้วิธีนี้ในการปรับสภาพอากาศในการเลี้ยงไม่ให้ร้อนจัดจนส่งผลกระทบกับตัวสัตว์ ขณะที่การเลี้ยงในโรงเรือนปิดแบบอีแวปก็ต้องเปิดระบบทำความเย็นที่ต้องใช้น้ำหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
เรียบเรียง: จารุวรรณ เอี่ยมยิ่งพานิช
ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com