วันนี้ (31 ตุลาคม) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดวันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 378 ราย แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในจังหวัด 373 ราย มาจากต่างจังหวัด 5 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 จนถึปัจจุบันอยู่ที่ 12,582 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อที่อยู่ในโรงพยาบาลจำนวน 4,152 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยสีเเขียว 3,282 ราย สีเหลือง 777 ราย และสีแดง 93 ราย
ขณะที่วานนี้ (30 ตุลาคม) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหารลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์โควิดที่ตลาดเมืองใหม่ เทศบาลนครเชียงใหม่ และประชุมบูรณาการการดำเนินงานควบคุมโรคร่วมกับหน่วยงานราชการในพื้นที่ พร้อมสนับสนุนชุดตรวจ ATK ให้กับจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 40,000 ชุด เพื่อตรวจคัดกรองเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยง
โดยอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยสถานการณ์ในจังหวัดเชียงใหม่ที่ยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และกำลังจะเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยว ได้กำชับให้ติดตามการป้องกันควบคุมโรคเป็นพิเศษ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยจากรายงานการแพร่ระบาดของจังหวัดเชียงใหม่ครั้งนี้ พบเป็นสายพันธ์ุเดลตา 100% ในชุมชน โรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในตลาด แล้วนำไปแพร่ต่อในครอบครัวและชุมชน ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับการแพร่ระบาดในช่วงแรก ถือว่าเรามีความพร้อมกว่ามาก ทั้งประสบการณ์ ยา เวชภัณฑ์ โดยเฉพาะวัคซีนที่บริษัทผู้ผลิตส่งมอบอย่างต่อเนื่อง และมีการปรับสูตรฉีดแบบไขว้ ทำให้ได้ภูมิคุ้มกันในระดับที่สูงและเร็วขึ้น
จังหวัดเชียงใหม่ฉีดวัคซีนไปแล้ว 1,061,881 คน คิดเป็นร้อยละ 61.4% ความสามารถในการฉีดไม่ต่ำกว่า 25,000 คนต่อวัน จึงได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรค จัดส่งวัคซีนเพิ่มอีก 7 แสนโดส เพื่อฉีดประชากรทั้งจังหวัดให้ครอบคลุม 100% ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ และฉีดเพิ่มเติมในกลุ่มต่างชาติ ชนเผ่า เพื่อให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่ปลอดภัย การใช้ชีวิตและภาคเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก
อนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับความพร้อมด้านการดูแลรักษาผู้ป่วย ส่วนใหญ่อยู่ในระบบ CI ที่มีอยู่ในทุกอำเภอ ภาพรวมเตียงผู้ป่วยสีเหลืองและแดงยังรองรับได้ แต่หากเกินศักยภาพในพื้นที่ จะส่งต่อรักษาจังหวัดในเครือข่ายเขตสุขภาพที่ 1 เช่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย ได้มอบนโยบายให้เพิ่มระบบการดูแลแบบ HI ในผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย เพื่อให้มีเตียงในโรงพยาบาลเพียงพอสำหรับดูแลผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงหนักได้มากขึ้น ทั้งนี้ ได้จัดสิ่งสนับสนุน ทั้งยา เวชภัณฑ์ เครื่องผลิตออกซิเจน และครุภัณฑ์การแพทย์ให้เพิ่มเติม นอกจากการดูแลด้านร่างกายแล้ว พบว่าโรงพยาบาลจิตเวชสวนปรุงยังให้การดูแลสุขภาพจิตควบคู่กับการรักษาสุขภาพกาย โดยจัดหอผู้ป่วยโควิด ดูแลผู้ติดเชื้อเป็นครอบครัว รวม 18 ครอบครัว และดูแลผู้ติดเชื้อกลุ่มจิตเวชด้วย
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเชียงใหม่เคยมีการแพร่ระบาดมาแล้วหลายระลอกและสามารถควบคุมโรคได้ดี การระบาดระลอกนี้เป็นช่วงขาขึ้น สิ่งสำคัญคือ ทุกภาคต้องส่วนร่วมมือกันป้องกันควบคุมโรค โดยภาคประชาชนต้องเข้มงวดการป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด (Universal Prevention) ภาคเอกชนต้องเพิ่มการจัดทำ COVID-FREE Setting ในพื้นที่ต่างๆ และตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วย ATK ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน มั่นใจว่าเชียงใหม่จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้สำเร็จ และเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย