แน่นอนว่าในโลกของ ‘การ์ตูนผู้ชาย’ ที่โฟกัสตัวละครเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความฝัน ความพยายาม ออกไปทำภารกิจจนกลายที่รักของผู้คน จะมีแอร์ไทม์เพียงน้อยนิดที่หยิบยื่นให้กับตัวละคร ‘หญิงชรา’ ที่เต็มไปด้วยรอยตีนกาเหี่ยวย่น แถมยังขี้บ่นจนถูกสามีและลูกๆ เอาไปนินทาเป็นเรื่องตลกลับหลังอยู่เสมอ
จนบางครั้งเราเผลอคิดไปว่าพวกเธอเป็นเพียงตัวประกอบที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อสร้างสีสัน ทั้งที่จริงๆ แล้วพวกเธอนี่ล่ะคือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ชีวิตของ ‘ตัวเอก’ ทั้งหลายได้ออกไปทำตามความฝันและหน้าที่อันยิ่งใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์
โดยเฉพาะ ‘จีจี้’ และ ‘โนฮาระ มิซาเอะ’ สองหญิงแกร่งจากจักรวาล ดราก้อนบอล และ เครยอนชินจัง ตัวแทนของบรรดาคุณแม่อีกหลายคนบนโลก ที่ยืนยันว่าการเป็นแม่นั้นแสนยากเย็น เจ็บปวด และต้องเสียสละอะไรไปมากมายเหลือเกินในชีวิตเพื่อคนที่พวกเธอรัก
แม้บางครั้งจะดูน่าอิจฉา เพราะได้เป็นถึงภรรยาของนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล แต่อย่าลืมว่าเมื่อโลกกลับมาสงบสุข ทุกคนจะกล่าวชื่นชม ‘ซุนโกคู’ ผู้เป็นสามี แถมบางคนมองว่าจีจี้เป็นตัวปัญหา เพราะชอบห้ามไม่ให้สามีไปฝึกวิชา และวางแผนชีวิตให้ลูกๆ เข้าเรียนตามระบบการศึกษาไว้เสร็จสรรพ
เรามักจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า ถ้าโกคูและลูกๆ ไม่ออกต่อไปสู้ แล้วโลกถูกทำลายขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร?
โดยที่ไม่เคยถามกลับมาเลยว่า แล้วถ้าสามีและลูกๆ ของเธอออกไปปกป้องโลกจนเสียชีวิตขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร?
หากโลกที่กำลังล่มสลายต้องได้รับการเยียวยา แล้วมีใครบ้างหรือเปล่าที่ช่วยเยียวยาความรู้สึกของคนเป็นแม่และภรรยาที่ต้องสูญเสียทุกอย่างคนนี้ได้
อาจจะมองว่าเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่เราจะสามารถพูดได้เต็มปากหรือเปล่าว่าสิ่งที่จีจี้คิดอยู่เป็นเรื่องที่ผิด
เธอมีสิทธิ์โกรธได้บ้างไหม เมื่อสามีที่ควรเป็นเสาหลักสนใจแต่การต่อสู้ โดยไม่เคยสนใจเรื่องการทำงาน หาเงินมาดูแลคนในบ้าน
เธอผิดจริงหรือเปล่าที่อยากให้ลูกเติบโตเป็นนักวิชาการที่มีอาชีพมั่นคงมากกว่าคนเป็นพ่อที่แสดงออกชัดเจนว่าสนใจการปกป้องโลกมากกว่าปกป้องครอบครัว
และถ้ามองให้ลึกลงไปกว่านั้น เราจะเห็นว่าจีจี้ไม่เคยจู้จี้เพื่อตัวเอง เธอเข้มงวดกับลูกเพราะอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี แต่สุดท้ายก็ยอมให้ลูกโดดเรียนไปฝึกวิชาแทบทุกครั้ง คอยเป็นห่วงว่าทุกคนในบ้านจะมีอาหารที่ดีกินหรือเปล่า
เป็นห่วงไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการบอกให้ทุกคนใช้ครีมนวดและไดร์เป่าผม ดูเผินๆ เหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ถ้ามองจากทรงผมของโกคู โกฮัง โกเท็น แล้วจะเห็นว่านี่คือเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามจริงๆ
หรือแม้แต่ มิซาเอะ ที่เป็นแม่และภรรยาในครอบครัวที่ดูเหมือนจะ ‘ธรรมดา’ ก็แบกรับหน้าที่ที่ลำบากไม่แพ้กัน
มิซาเอะคือคนแรกที่ต้องตื่นนอนก่อนใคร รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินมาเปิดผ้าม่านรับแสง ปลุกสามีและลูกชายคนโต จัดเตรียมโต๊ะอาหาร กลับไปปลุกชินจังที่งัวเงียไม่ยอมตื่นลากเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า แปรงฟัน และออกมาเก็บที่นอน
สุดท้ายชินจังมักจะขึ้นรถโรงเรียนไม่ทัน มิซาเอะก็ต้องรีบเก็บของ เตรียมตัวผูกน้องสาวอย่างฮิมาวาริเอาไว้ด้านหลัง ปั่นจักรยานข้ามถนน ขึ้นภูเขาไปส่งชินจังที่โรงเรียน หรือถ้าวันไหนชินจังขึ้นรถทัน แต่ลืมข้าวกล่องเอาไว้ที่บ้าน ก็มีแม่ที่แสนขี้บ่นคนนี้นี่ล่ะปั่นจักรยานเอาไปส่งให้ถึงที่
หลังจากนั้นก็กลับมาซักผ้า เก็บกวาด ถูบ้าน ดูแลลูกสาวคนเล็ก ออกไปจ่ายตลาด ทำงานบ้านทุกอย่าง คอยเตรียมอาหารเย็น เตรียมน้ำอุ่นให้ทุกคนได้อาบ วนเป็นกิจวัตร โดยที่สามีและลูกชายยังมีวันให้หยุดพัก แต่มิซาเอะต้องทำทุกอย่างซ้ำไปซ้ำมาในทุกๆ วันแบบไม่มีวันหยุด
วันไหนที่เห็นสามีกลับมาด้วยท่าทีไม่สบายใจ เธอจะคอยรินเบียร์เย็นๆ ให้เสมอ คอยรับฟังปัญหาด้วยความเข้าใจ (แม้จะโมโหในความไม่เอาไหนของสามีบ้างเป็นบางครั้ง) ปลอบใจทุกคนเวลาร้องไห้ แต่เวลาที่เธอร้องไห้จะไม่ยอมให้ใครเห็น
ถ้าไม่ใช่เรื่องกินขนมช็อกโกบีมากเกินไป หรือคำขอทะลึ่งตึงตังเกินเด็ก จะเห็นว่ามิซาเอะเป็นแม่ที่คอยสนับสนุนชินจังในแทบทุกเรื่อง ทั้งวาดรูป ขี่จักรยาน แสดงละคร เล่นสนุกกับเพื่อนๆ ฯลฯ แม้ชินจังจะดื้อขนาดไหน แต่เธอก็เฝ้ามองการเติบโตอย่างอิสระตามใจฝันของลูกชายคนนี้อยู่เสมอ
ฉากที่มิซาเอะลงไปงมหาจักรยานที่ตกลงไปในคลองจนดึกดื่น ในขณะที่ชินจังกลับบ้านไปดูหน้ากากแอ็กชันอย่างสบายใจ ยังเป็นฉากที่ทำให้เราน้ำตารื้นทุกครั้งที่นึกถึงการ์ตูนเรื่องนี้
การดูแลสภาพความเป็นอยู่ทั้งร่างกายและจิตใจของทุกชีวิตในครอบครัวไม่เคยเป็นเรื่องง่าย และมันก็แสดงออกผ่านลักษณะและ ‘ร่องรอย’ บางอย่างที่มิซาเอะไม่อาจฝืน
ทั้งดวงตาลึกคล้ำจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเหี่ยวคล้อยตามส่วนต่างๆ รอยตีนกาที่ชินจังเอามาล้ออยู่เป็นประจำ เสื้อยืดและกางเกงที่ใส่ซ้ำๆ ฯลฯ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมักจะบอกคนอื่นว่าอายุ 24-25 ปี เพราะเธออยากหยุดเวลาเอาไว้เท่านั้น ในช่วงที่เธอสวยสะพรั่งและเฉิดฉายประกายของหญิงสาวได้มากที่สุด
จนกระทั่งหน้าที่ของภรรยาและแม่จะพรากช่วงเวลาอันแสนสดใส พร้อมกับความจริงที่ว่าเธอคือคุณแม่ลูกสองอายุ 29 ปีที่แทบไม่เคยมีเวลาว่างแม้แต่จะออกไปเที่ยวหรือทำในสิ่งที่เธอชอบ
ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือเราแทบไม่มีโอกาสรู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วมิซาเอะเป็นคนอย่างไร เคยมีความฝันแบบไหน เธอต้องการอะไรมากที่สุด ราวกับตัวละครของมิซาเอะถูกกำหนดมาให้เป็น ‘แม่’ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เรื่องอื่นไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
เช่นเดียวกับคุณแม่ของโนบิตะ, มารุโกะ, ซาโตชิ ใน Pokemon, มิโดริยะ อิซึคุ ใน My Hero Academia, มาเอดะ ใน คุโรมาตี้ ฯลฯ และอีกหลายคนที่เราแทบไม่รู้เรื่องราวในวันวานของพวกเธอ แถมยังถูกแปะป้ายให้เป็น ‘ปีศาจขี้บ่น’ ในโลกแห่งการ์ตูน
แม้ภาพของคุณแม่ทั้งหลายจะถูกนำเสนอด้วยความขำขัน แต่ลึกๆ เราคิดว่านี่คือการใช้อารมณ์ขันฉาบเคลือบประเด็นทางสังคมที่หลายคนมักจะมองข้ามได้อย่างน่าสนใจ
โดยเฉพาะการใช้เสียงหัวเราะเพื่อให้คนอ่านนึกถึง ‘ใคร’ คนหนึ่ง
หญิง (เคย) สาวผมฟู หน้ามัน ก้มหน้าก้มตาทำงานไม่หยุด คอยดุเมื่อเราทำผิด คอยคอยเป็นลมใต้ปีก พยุงให้เราได้ออกบินไปตามความฝัน คอยเป็นอ้อมกอดสำคัญที่คอยปลอบใจในวันที่เราท้อแท้และหมดแรง คอยเป็นห่วงเหมือนเราเป็นเด็กอยู่เสมอแม้ว่าเราคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ คอยส่งรูปภาพ ‘สวัสดีทุกวัน’ พร้อมคำอวยพรให้พบแต่เรื่องดีๆ มาให้ในทุกเช้า
ก่อนที่จะวางโทรศัพท์ แล้วกลับไปเตรียมอาหาร ทำงานบ้าน รอให้ทุกคนกลับมาหาซ้ำๆ เหมือนทุกวัน
ราวกับว่าชีวิตของเธอมีเพียงแค่ครอบครัวเท่านั้นที่สำคัญจริงๆ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า