ในขณะที่ลิเวอร์พูลกับอาร์เซนอลพลาดเสมอ 2 นัดติดต่อกัน และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังหาทางออกจากหุบเหวมรณะที่มืดมิดไม่ได้ ชัยชนะเหนือทีมฝีมือดีอย่างเบรนท์ฟอร์ดเมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้เชลซีร่นระยะห่างจากจ่าฝูงเหลือเพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น ถึงแม้จะลงแข่งมากกว่า 1 นัด
นับเฉพาะในพรีเมียร์ลีกนี่เป็นการชนะรวดติดต่อกัน 5 นัดของพวกเขาแล้ว (และถ้านับเฉพาะเดือนธันวาคมก็ชนะรวด 4 นัด เหมือนสั่งพรีออร์เดอร์รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนรอ)
ถ้านับรวมทุกรายการพวกเขาชนะรวดมา 7 นัด และถ้านับ 10 นัดหลังสุดเป็นการชนะถึง 8 นัด เสมอแค่ 2 นัด
สถานการณ์แบบนี้ทำให้คำถามที่เริ่มมีเสียงพูดถึงในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาชักน่าสนใจและมีน้ำหนักขึ้น
แบบนี้นับว่าเชลซีเป็นทีมลุ้นแชมป์เต็มตัวได้หรือยัง?
คำถามนี้เมื่อฟังและคิดตามดีๆ แล้วมันก็พอหาคำตอบที่มีเหตุและผลอยู่เหมือนกัน ซึ่งเหตุผลที่ควรจะเรียกว่าเชลซีเป็นทีมลุ้นแชมป์ได้นั้นน่าจะมีประมาณนี้
1. ขุมกำลังระดับพันล้าน (ปอนด์)
นี่คือเรื่องที่บอสทุกทีมกำลังอิจฉา เอ็นโซ มาเรสกา มากที่สุด เพราะขนาดว่ามีตัวผู้เล่นเจ็บถาวรอย่าง รีซ เจมส์ และ เบน ชิลเวลล์ ซึ่งเป็นนักเตะระดับกัปตันและเคยเป็นตัวทีเด็ดริมเส้น กลับไม่ได้ส่งผลอะไรต่อทีมเลยแม้แต่น้อย
ในทางตรงกันข้าม ยิ่งเวลาผ่าน ทีมที่ดูเหมือนซื้อตัวดีๆ มากองรวมๆ กันกลับค่อยๆ ฉายแววขึ้นเรื่อยๆ และค้นพบทีมที่ลงตัว
โดยเฉพาะในแนวรุกที่เห็นแล้วก็ได้แต่ตาร้อน เพราะในขณะที่ชุดตัวหลักอย่าง นิโคลัส แจ็คสัน, โนนี มาดูเอเก, จาดอน ซานโช รวมถึงคีย์แมนอย่าง โคล พาลเมอร์ ฟอร์มร้อนแรงขัดกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นสุดๆ ตอนนี้
พวกเขายังมีกำลังสำรองระดับ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู, ชูเอา เฟลิกซ์ และ เปโดร เนโต ให้เลือกใช้งานได้ตามความต้องการ (และ มิไคโล มูดริก ที่หลายคนยังเอาใจช่วยอยู่) ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของเชลซีเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ในแดนกลางและแดนหลังนอกจากแกนหลักอย่าง มอยเซส ไกเซโด, เอ็นโซ เฟร์นานเดซ, ลีวาย โคลวิลล์, โตซิน อดาราบิโอโย, มาโล กุสโต, มาร์ก กูกูเรยา ก็มีตัวที่พร้อมสลับลงได้ตลอดอย่าง โรเมโอ ลาเวีย, อักเซล ดิซาซี, เบอนัวต์ บาเดียชิล (ที่แฟนเชลซีคิดว่าไม่ต้องลงก็ได้ไม่เป็นไร), เรนาโต เวกา, เคียร์แนน ดิวส์เบอรี-ฮอลล์, เซซาเร คาซาเดอี
เรียกว่าที่เจ้าของสโมสร ท็อดด์ โบห์ลี และ Capital Lake ลงทุนไปกว่าพันล้าน และเคยเป็นเรื่องที่โดนค่อนขอดมากที่สุด วันนี้กลายเป็นจุดแข็งที่สุดของทีมไปแล้ว
2. โปรแกรมรู้เห็นเป็นใจ
เรื่องที่ ‘เข้าทาง’ พวกเขาอีกอย่างคือในฤดูกาลนี้เชลซีมีโปรแกรมการแข่งขันที่ถือว่า ‘เบา’ เมื่อเทียบกับลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล และแมนฯ ซิตี้ ที่ต้องกรำศึกหนักในแชมเปียนส์ลีก
พวกเขาอยู่ในถ้วยใบเล็กที่สุดของยุโรปอย่างยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก ซึ่งด้วยระดับของคู่แข่งและความสำคัญของรายการทำให้โค้ชอย่างมาเรสกาสามารถที่จะหมุนเวียนผู้เล่นเกือบยกชุดในการลงสนามได้เลย
ในนัดล่าสุดที่ไปเยือนแอสตานาที่คีร์กีซสถาน ซึ่งเป็นการเดินทางไกลกว่า 7,000 ไมล์ และต้องลงแข่งในสภาพอากาศที่โหดร้ายติดลบหลายสิบองศาเซลเซียส มาเรสกาสามารถส่งรายชื่อทีมชุดเยาวชนหลายคนเดินทางไปแข่งแทนพี่ๆ ได้สบายๆ
ที่สำคัญนักเตะชุดเยาวชนและตัวทดแทนเองก็ชอบที่ได้โอกาสในการเรียกฟอร์ม จังหวะการเล่น ความมั่นใจ ที่จะเก็บเกี่ยวไว้เพื่อช่วงชิงตำแหน่งตัวจริงในทีมได้อีก ที่จะทำให้การแข่งขันภายในทีมเข้มข้นมากยิ่งขึ้นในอนาคต
3. สไตล์ฟุตบอลที่ทำให้ใจสั่นไหว
ในขณะที่ลิเวอร์พูลใต้การนำของ อาร์เน สลอต เป็นฟุตบอลสายคอนโทรลที่เน้นความชัวร์ เกมรับต้องแน่น ผ่านบอลแม่นยำ เหมือนสิงโตที่ค่อยๆ ล่าเหยื่ออย่างใจเย็นรอจังหวะงับคอสังหาร
เชลซีของ เอ็นโซ มาเรสกา เป็นทีมในทางตรงกันข้าม พวกเขาเล่นฟุตบอล Direct ที่รวดเร็ว บู๊ไม่หยุด สู้ไม่ถอย กลายเป็นทีมที่ได้ใจคนที่ต่อให้ไม่ใช่แฟนสิงโตน้ำเงินครามหลายคนเพราะเล่นสนุก สวยงาม และมีความแม่นยำในการเล่นสูงพอสมควร
เรื่องนี้แม้แต่ โธมัส แฟรงก์ นายใหญ่เบรนท์ฟอร์ดเองก็ยอมรับว่าเชลซีเป็นทีมที่เล่นได้ดูดีที่สุดแล้วในพรีเมียร์ลีกเวลานี้ โดยที่ยังหาทีมที่หยุดการเข้าทำของพวกเขาได้ยาก เพราะเร็วและเต็มไปด้วยการเล่นที่คาดไม่ถึงทั้งนั้น
ใครจะคิดว่ากองหลังที่ลื่นปรื๊ดจนทำทีมเสีย 2 ประตูอย่าง มาร์ก กูกูเรยา จะกลายเป็นคนปลดล็อกให้ทีมในเกมนัดล่าสุด
และกองหน้าที่เคยถูกตีตราว่าเป็นสากกะเบืออย่าง นิโคลัส แจ็คสัน จะเป็นฮีโร่ของทีมอีกครั้ง หลังยิงประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว
ทีมยังเต็มไปด้วยสปิริตร้อนแรง เหมือนที่เราได้เห็นในเกมพลิกกลับมาเอาชนะสเปอร์สได้สุดมันเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายตามหลังก่อน 2-0 ตั้งแต่ 10 นาทีแรก
ไม่มีแล้วทีมที่พลาดปุ๊บก้มหน้าเหมือนปลาทูแม่กลอง มีแต่ทีมที่เชิดหน้าเพราะเชื่อและมั่นใจว่าจะสามารถพลิกกลับมาเอาชนะได้ทุกทีม
มั่นใจแค่ไหน? ก็ระดับพาลเมอร์ยิงจุดโทษแบบ ‘ปาเนนกา’ ในช่วงบีบหัวใจ
4. โค้ชที่ใช่ (สักทีพ่อคุณ)
เครดิตเรื่องระบบและสไตล์การเล่นต้องยกให้กับ เอ็นโซ มาเรสกา แบบเต็มๆ
นายใหญ่ชาวอิตาลีคนนี้อาจจะไม่ได้เป็น ‘บิ๊กเนม’ เหมือนใครเขา ตอนที่ได้ตัวมาจากเลสเตอร์ ซิตี้ ก็มีผลงานแค่ฤดูกาลเดียวที่พาทีม ‘จิ้งจอก’ กลับขึ้นพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง นอกนั้นคนจดจำเขาในฐานะมือขวาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา
แต่ตอนนี้ชัดแล้วว่าเขาเป็นตัวเลือกที่เชลซีจิ้มถูกเหมือนถูกหวย
เพราะนอกจากจะเป็นโค้ชที่มีแนวทางในการทำทีมที่ชัดเจน ฟุตบอลที่มีกลิ่นอายของแมนฯ ซิตี้ ในยุคที่เน้นการเล่นและการเข้าทำที่แม่นยำ (ซึ่งหาไม่เจอแล้วในทีมของเป๊ปตอนนี้) มาเรสกายังมีความสามารถในการบริหารจัดการคน (Man Management) ได้เป็นอย่างดี
การเลือกจะเก็บผู้เล่นคนไหนไว้ การหาวิธีในการดึงศักยภาพผู้เล่นออกมา การบริหารความรู้สึกของลูกทีม สิ่งเหล่านี้เราเห็นได้จากการกลับมาเข้าฟอร์มของผู้เล่นชั้นดีทีละคน ไม่ว่าจะเป็น ไกเซโด, แจ็คสัน หรือแม้แต่เอ็นโซที่เคยฟอร์มตกกราวรูด ตอนนี้ก็กลับมา
และที่สำคัญที่สุดคือความยืดหยุ่นประนีประนอมในการทำงาน ที่ไม่เฉพาะกับลูกทีม แต่รวมถึงการทำงานร่วมกับฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่โค้ชอย่าง เมาริซิโอ โปเชตติโน ยังทำไม่ได้
ถือว่าเชลซีโชคดีมากที่ได้โค้ชคนนี้มาช่วยจัดการปัญหาทุกอย่างที่เคยกองทับๆ กัน เหมือนบริการรับจัดระเบียบบ้านของ ‘แมวบิน’
จากนี้ไม่ต้องมองไปข้างหลังแล้ว มองไปข้างหน้าอย่างเดียวโลด
5. ‘COLD’ พาลเมอร์
และเหตุผลที่ดีที่สุดที่จะทำให้เชลซีเป็นทีมลุ้นแชมป์คือพวกเขามีตัว Edit อย่าง โคล พาลเมอร์ อยู่ในทีม
ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเจ้าหนูวัย 22 ปีคนนี้คือนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพรีเมียร์ลีก เรียกว่าวัดกับ โม ซาลาห์ หรือ บูกาโย ซากา ที่ว่ากันว่าเจ๋งได้อย่างสบายๆ และต่อให้สถิติอาจจะยังไม่สู้ แต่ ‘คุณค่า’ และ ‘อิทธิพล’ ของพาลเมอร์ที่มีต่อเชลซีนั้นสูงและโดดเด่นไม่แพ้ใคร
เพราะการมีอยู่ของเขา และการค้นพบบทบาทใหม่ที่มาเรสกาขยับมายืนเป็นตัวรุกเต็มตัวในบท ‘เบอร์ 10’ ที่ไม่เพียงแค่เป็นการปลดล็อกทีม ยังเป็นการปลดล็อกพรสวรรค์ในตัวของพาลเมอร์ให้เปล่งประกายมากขึ้นไปอีกด้วย
จากที่โดดเด่นเป็นบางนัดในฤดูกาลที่แล้ว ในฤดูกาลนี้พาลเมอร์ฉายแววยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมทั้งจินตนาการในการเล่นสุดบรรเจิด ความขยัน ความเนี้ยบในการเล่น และความนิ่งที่เหมือนเล่นฟุตบอลมาแล้วสิบปี
Football Brain ของเด็กคนนี้ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก และสิ่งนี้จะสร้างความแตกต่างได้อย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่มีค่าและหาได้ยากที่สุดในนักฟุตบอลคือมันสมองในการเล่น ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ ลิโอเนล เมสซี ยังโลดแล่นอยู่ได้อย่างสง่างามในวัย 37 ปี
แต่แน่นอนว่าพาลเมอร์จะต้องเจอบทพิสูจน์อีกมากหลังจากนี้ โดยเฉพาะหากประสบปัญหาอาการบาดเจ็บขึ้นมา (ซึ่งทีมก็ต้องเจอบททดสอบด้วยเหมือนกัน) ช่วงฟอร์มสะดุด และที่สำคัญที่สุดคือช่วงบีบหัวใจหากทีมต้องลุ้นแชมป์จริงๆ
อย่างไรก็ดี ต่อคำถามว่าเชลซีเป็น ‘ทีมลุ้นแชมป์’ (Title Contender) เต็มๆ หรือยังนั้น
คำตอบจากมาเรสกาคือ ‘ยัง’ ซึ่งเห็นด้วยเพราะพวกเขาเองก็ต้องเรียนรู้อีกมาก (ลิเวอร์พูลของสลอตเองก็ยังไม่กล้าออกตัวเหมือนกัน) และยังมีเรื่องของประสบการณ์ที่อ่อนด้อยกว่าคู่แข่งทุกทีม อีกทั้งยังมีจุดบอดที่คาดเดาไม่ได้อย่างฟอร์มของ โรเบิร์ต ซานเชซ, บาเดียชิล, กูกูเรยา รวมถึงแจ็คสัน ที่บทจะฝืดขึ้นมายิ่งกว่ากินขนมปังแห้งๆ ในตอนเช้า
แต่ถามว่า ‘หวัง’ ได้ไหม?
ก็คิดว่าน่าจะพอได้อยู่นะ ยืนระยะอีกสัก 1-2 เดือนก่อนแล้วกัน
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/sport/football/live/c983g346n4yt
- https://theanalyst.com/eu/2024/12/tottenham-vs-chelsea-stats-opta-premier-league
- https://www.premierleague.com/news/4194113
- https://www.premierleague.com/match/115980
- https://www.transfermarkt.com/cole-palmer/profil/spieler/568177
- เชลซีทำไปแล้ว 37 ประตู มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก รองลงมาคือสเปอร์ส (36)
- ใน 25 นัดที่ลงสนาม เชลซียิงไปแล้ว 66 ประตู
- ฤดูกาลที่แล้วเชลซีลงเล่นทั้งฤดูกาล 50 นัด ยิงไป 50 ประตู
- ค่าเฉลี่ยประตูต่อนัดของเชลซีก่อนเกมกับเบรนท์ฟอร์ดอยู่ที่ 2.66 ประตูต่อนัด
- นิโคลัส แจ็คสัน ทำไป 8 ประตูจาก 14 นัด ค่าเฉลี่ยต่อเกมเพิ่มจาก 0.35 ในฤดูกาลที่แล้วเป็น 0.65 และความแม่นยำในการยิงเพิ่มจาก 65% เป็น 75%
- ค่าเฉลี่ยอายุทั้งทีมเชลซี 23.9 ปี น้อยกว่าลิเวอร์พูล (26.5), อาร์เซนอล (26.8) และแมนฯ ซิตี้ (27.8)