×

ชยิกาบอกรัฐบาลอย่าใช้อคติ ชินวัตร-พท. ล้ม MOU 43 ชี้เปิดช่องกัมพูชาฟ้องขึ้นศาลโลก ทำหลักเขตแดนกว่า 20 ปีสูญเปล่า

โดย THE STANDARD TEAM
26.09.2025
  • LOADING...

วันนี้ (26 กันยายน) ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุในแถลงนโยบายของรัฐบาลล่าสุด ถึงเรื่องการทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจจะยกเลิก MOU ระหว่างไทย-กัมพูชาหรือไม่ว่า ในฐานะอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้มีโอกาสติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างใกล้ชิดมาตลอด MOU 43 มีข้อดี และที่ผ่านมาฝ่ายราชการ ตั้งแต่กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ และกองทัพ ได้นำไปใช้กับสถานการณ์ไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นจริง

 

“ขอวิงวอนให้ทุกคนวางอคติ และรับฟังข้อเท็จจริงด้วยใจเป็นกลาง เพื่อจะได้หารือร่วมกันอย่างมียุทธศาสตร์ ทันเกมการเมืองระหว่างประเทศ และตั้งอยู่บนผลประโยชน์ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง” ชยิกากล่าว

 

ชยิกายังกังวลว่า การยกเลิก MOU 43 ยิ่งจะทำให้โอกาสที่ฝ่ายกัมพูชา จะนำเรื่องนี้ไปศาลโลกมีมากขึ้น เพราะไม่ได้มีกรอบเจรจากำหนดไว้อีกต่อไป และแม้ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิด MOU 43 นับร้อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อน เพราะรู้ดีว่าในแง่กฎหมายระหว่างประเทศ ที่ใครบอกเลิกก่อน ย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเสียหายในแง่ความน่าเชื่อถือต่อสังคมโลก

 

ในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้จะยังมีความยากลำบากในการเจรจา สิ่งที่ทำได้ และจะเป็นประโยชน์กว่า คือการชะลอการเจรจาออกไปเรื่อยๆ ก่อน เพื่อรักษาสถานะที่ได้เปรียบของไทยไว้ อันเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติแท้จริง

 

ชยิกายังยืนยันว่า สถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ไม่ใช่การรุกล้ำพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนตาม MOU 43 แต่เป็นการรุกล้ำอธิปไตย เข้ามาในเขตแดนของไทย เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ MOU 43

 

“MOU 43 เป็นเครื่องมือเดียว ที่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ ที่บังคับให้กัมพูชาต้องมาคุยกับไทย 2 ฝ่าย (ทวิภาคี) ด้วยสันติวิธี ผ่านกลไกคณะกรรมาธิการ JBC ไทย-กัมพูชา ซึ่งหากยกเลิก MOU กลไก JBC จะสิ้นสุดไปด้วย และ MOU43 เป็นเครื่องมือเดียว ที่กำหนดให้กัมพูชาห้ามรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ยังไม่มีข้อตกลง และห้ามไม่ให้ขุดคูเลต หรือสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ รวมถึงการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารจนทำให้ทหารไทยเสียชีวิต” ชยิกากล่าว

 

ชยิกายังย้ำอีกว่า MOU 43 เป็นเครื่องมือเดียวที่ทำให้กัมพูชา ต้องมาร่วมปักปันเขตแดนกับไทยผ่านกลไกคณะกรรมาธิการ JBC เพื่อการทำแผนที่ใหม่ ให้เป็นที่ยอมรับของทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อใช้แทนแผนที่ 1:200,000 ที่กัมพูชายึดถือ และล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ JBC ได้มีมติใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม LIDAR ในการหาสันปันน้ำ เพื่อหาข้อสรุปถึงเส้นเขตแดนที่เป็นข้อตกลงร่วม และเส้นเขตแดนใหม่นี้ จะทำให้เส้นเขตแดนตามแผนที่ 1:200,000 ที่หลายฝ่ายกังวลหมดไป

 

หากมีการยกเลิก MOU 43 แล้ว หลักเขตแดน 45 หลัก จากทั้งหมด 74 หลัก ที่ตกลงกันไว้จะหายไปทั้งหมด ซึ่งก็จะเป็นที่น่าเสียดายว่า งานของเจ้ากรมแผนที่ทหารที่ทำมาตลอดกว่า 20 ปี ซึ่งเกือบทั้งชีวิตข้าราชการ อาจทำให้หายไปกับการยกเลิก MOU นี้ด้วย ขณะเดียวกัน เส้นเขตแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ในปัจจุบันแล้วเสร็จไปกว่า 90% นั้น ใช้เวลากว่า 50 ปี กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ และการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา เพิ่งทำมาได้ 20 ปี ปักปันไปได้ 60% จึงไม่ถือว่าช้า หรือไม่มีประสิทธิภาพตามที่หลายคนเข้าใจ

 

ชยิกายังกังวลว่า การยกเลิก MOU 43 เพื่อทำ MOU ใหม่ จึงเป็นการทำให้ประเทศ ต้องเริ่มต้นเรื่องข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาจากศูนย์ หรือจะเรียกติดลบก็ว่าได้ จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาว่า หากกัมพูชาได้เปรียบไทยจาก MOU 43 จริง เหตุใดกัมพูชาจึงบอกว่า MOU นี้ไม่เวิร์ก ต้องยกเลิก และหากระหว่างที่รัฐบาลเจรจาเพื่อร่างกรอบ MOU ในการเจรจาใหม่ เกิดความขัดแย้งตามแนวชายแดน เกิดการเดินหน้ายกระดับข้อพิพาทเขตแดนไปในเวทีโลก รัฐบาลจะรับผิดชอบต่อความเสียหายครั้งนี้ไหวหรือไม่

 

“เป็นที่น่าเศร้าใจ หากใครถือธงยกเลิก MOU 43 เพียงเพราะอคติ ความเกลียดชัง ความเข้าใจผิดต่อตระกูลชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทย เล่นการเมืองจนไม่ดูข้อเท็จจริง ลืมนึกผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งผู้นั้นต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วย”

 

ชยิกาย้ำด้วยว่า การใช้ข้อมูลที่ถูกบิดเบือนไปตัดสินใจแก้ปัญหาประเทศ จะส่งผลเสียต่อประเทศในระยะสั้นและยาวแน่นอน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising