ดูเหมือนเรื่องราวที่เด็ก Y2K (หรือความจริงคือต้องเป็นเด็กยุค 80-90) เคยอ่านในการ์ตูนโดราเอมอนสมัยเด็กๆ ถึงของวิเศษต่างๆ ที่แสนสนุกสนานในวันนั้น กำลังกลายเป็นเรื่องจริงในวันนี้ และที่สำคัญคือมันกำลังเขย่าความรู้สึกของผู้คนที่เริ่มสัมผัสได้ว่าโลกของเรากำลังจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หนึ่งในนั้นคือที่เรียกกันว่า ChatGPT ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มาแรงที่สุดในเวลานี้ ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมในหลากหลายวงการ แต่ที่กำลังเป็นที่พูดถึงมากที่สุดคือในวงการการศึกษา เมื่อ ChatGPT ถูกเด็กๆ นำมาใช้เพื่อทำการบ้านแทนพวกเขา โดยที่คุณครูก็จับไม่ได้
“ลาก่อนนะการบ้าน” อีลอน มัสก์ ถึงกับทวีตข้อความถึงเรื่องราวของ ChatGPT ที่สะท้อนให้เห็นว่า ซีอีโอของ Tesla, SpaceX และ Twitter ก็พร้อมที่จะเอา AI สุดล้ำสมัยมาใช้งานด้วยเหมือนกัน (เรื่องอะไรจะเสียเวลานั่งทำการบ้านนานๆ เอาเวลาไปเล่นดีกว่า!)
เรื่องนี้ทำให้คนในวงการการศึกษาตื่นตัวอย่างมาก ภาพของ ChatGPT ถูกมองในฐานะเครื่องมืออันตราย เป็นบ่อนทำลายการศึกษาในระดับร้ายแรง เพราะมันทำได้มากกว่าการบ้าน ทั้งยังรวมถึงการช่วยทำข้อสอบด้วย
แต่ในอีกด้านหนึ่ง AI อัจฉริยะนี้อาจไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- รู้จัก ‘ChatGPT’ แชตบอตโด่งดังสุดอัจฉริยะ ที่กำลังเขย่าโลก ‘AI’ และอาจจุดชนวน Tech Disruption อีกครั้ง
- อาจารย์มหาวิทยาลัย-มัธยมในอเมริกา เร่งยกเครื่องการสอน รับมือ ChatGPT หลังถูกนักศึกษานำมาใช้ทำการบ้านแทน
- ม.ธุรกิจชื่อดังของสหรัฐฯ พบ ChatGPT สามารถสอบผ่านหลักสูตร MBA และทำเกรดได้ดีกว่านักศึกษาจริงบางคน
รู้จัก ChatGPT เจ้าดินสอคอมพิวเตอร์ก่อน
ChatGPT คือ AI จากบริษัท OpenAI ที่เปิดตัวเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมานี้เอง แต่กลายเป็นปรากฏการณ์เขย่าโลกเลยทีเดียว
ที่บอกว่าเขย่าโลกนั้นเป็นเพราะ ChatGPT เป็นแชตบอตที่สามารถตอบคำถามต่อมนุษย์ได้หลากหลายรูปแบบแทบจะไร้ขีดจำกัด เรียกได้ว่าเหมือนกับ ‘อับดุลเอ๊ย’ ถามอะไรตอบได้ เลยทีเดียว
เรียกว่าพอเราพิมพ์ถามอะไรไปในช่องข้อความ เราก็จะได้คำตอบที่น่าทึ่งกลับมาเสมอ และทำให้แค่ 5 วันแรกหลังการเปิดตัวก็มีผู้ลงทะเบียนใช้งานแล้วเกินกว่า 1 ล้านคน
อันที่จริงก่อนหน้านี้โลกเรามี Siri (Apple) และ Alexa (Amazon) หรือ Google Assistant (Google) ที่เป็นแชตบอตคอยตอบคำถามหรือหาคำตอบมาให้กับเราผ่านระบบปฏิบัติการมาสักพักแล้ว เพียงแต่ทั้งหมดนี้ยังดูเป็น ‘หุ่น’ อยู่มากเมื่อเทียบกับ ChatGPT
ความพิเศษของ ChatGPT นั้นอยู่ที่สามารถตอบในภาษาที่มีความเป็นมนุษย์สูงมาก มากเสียจนบางครั้งเราอาจจับไม่ได้เลยว่านี่คือคำตอบของ AI ไม่ใช่คน และยังมีความสามารถในการเรียนรู้สูง บางครั้งหาคำตอบผิดก็ยอมรับผิดกันตรงๆ เรียกว่าอาจมีความเป็นมนุษย์มากกว่ามนุษย์จริงๆ บางคนด้วยซ้ำไป
ด้วยเหตุนี้ไม่น่าแปลกใจที่โลกทั้งใบจะตกใจกับการเกิดขึ้นของสิ่งนี้ที่มาถึงและสร้างแรงกระเพื่อมอย่างรวดเร็วและรุนแรง
หลายคนเชื่อว่า ChatGPT จะเปลี่ยนแปลงโลกในแบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลยทีเดียว
ตัวพลิกวงการการศึกษา
ในขณะที่คุณครูในสหรัฐอเมริการวมถึงยุโรปพยายามหาทางปิดกั้นไม่ให้มีการนำ ChatGPT มาใช้ในโรงเรียนในระหว่างการเรียนการสอนหรือการส่งการบ้าน (แต่ก็ยากจะสำเร็จ เพราะเด็กสมัยนี้ฉลาดหา ‘ช่องทางธรรมชาติ’ ได้ง่ายดาย) ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ AI อย่าง โดริส เวสเซิลส์ กลับมองเห็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่
เวสเซิลส์ ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้าน Business Informatics ที่ศึกษาเรื่อง AI มานาน เปิดเผยถึงความรู้สึกหลังการล็อกอินเข้าไปใช้งาน ChatGPT เป็นครั้งแรกว่า ‘เป็นชั่วโมงต้องมนตร์’ ของเธอเลยทีเดียว
“มันเหมือนเข้าไปในโลกอีกใบ” เวสเซิลส์กล่าว
ในเรื่องการนำ ChatGPT มาใช้ทำการบ้านหรือเขียนรายงานในระดับที่น่าพึงพอใจ ตั้งแต่ภาษาในเชิงวิชาการไปจนถึงการเขียนเรียงความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เวสเซิลส์เห็นด้วยว่าเป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยควรกังวล
แต่อีกด้านหนึ่งมันคือ ‘เครื่องมือ’ ที่ทรงพลังอย่างยิ่งสำหรับเหล่านักเรียน-นักศึกษา ที่จะสามารถเรียนรู้การนำ AI มาใช้ในการศึกษาได้เร็วกว่าคุณครูที่ต้องไล่ตามเด็กๆ เหล่านี้ ซึ่งมีการอัปเดตแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเคลื่อนไหว เทคนิคต่างๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย
และสำหรับบรรดาคุณครู พวกเขาสามารถนำ AI มาใช้งานได้เช่นเดียวกัน ด้วยการนำมาช่วยตรวจการบ้านและเรียงความ ซึ่งก็ช่วยทุ่นแรงได้เยอะ
ขอบคุณนะ ChatGPT!
หนึ่งในตัวอย่างดีๆ ของการนำ ChatGPT มาใช้คือเรื่องราวของ เบอร์นาเดตต์ แมทธิว นักศึกษาปริญญาเอกด้านชีววิทยาที่กำลังวิจัยในเรื่องการเติบโตของมะเร็ง
การวิจัยของแมทธิวนั้นอยู่บนข้อมูลจำนวนมหาศาลที่จะต้องนำมาวิเคราะห์ ซึ่งไม่สามารถทำได้ด้วยมือเปล่า ดังนั้นจึงต้องพยายามเรียนการเขียนโค้ด เพื่อที่จะให้คอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณและประหยัดเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเขียนโค้ดเป็น และนั่นทำให้งานวิจัยของเธอมีปัญหา
แต่เมื่อได้รู้จักกับ ChatGPT จากการแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหาที่เกิดขึ้นก็หมดไป เพราะแชตบอตอัจฉริยะนี้ได้ช่วยอธิบายให้เธอเข้าใจในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจเกี่ยวกับการเขียนโค้ด ช่วยหาข้อบกพร่องในการเขียนโค้ดของเธอ และมีบางครั้งที่มันเขียนโค้ดให้เธอเลยด้วยซ้ำไป
AI ทำให้แมทธิวรู้สึกมั่นใจและมีพลังมากขึ้นในการทำงานค้นคว้า โดยที่มันไม่ได้มาทำงานแทนที่เธอแต่อย่างใด แค่เหมือนที่ปรึกษาที่มาช่วยให้เธอเข้าใจอะไรๆ ได้ดีขึ้น
“การได้คุยกับ ChatGPT เหมือนการได้คุยกับคนจริงๆ” แมทธิวเล่า “ถ้าฉันรู้จักมันก่อนหน้านี้ ฉันน่าจะมีเวลาเหลืออีกเยอะเลยในการทำงาน”
เรื่องราวแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแมทธิวแค่คนเดียวอย่างแน่นอน มันน่าจะมีส่วนช่วยเด็กๆ อีกหลายคนที่ประสบปัญหาอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือน ‘กำแพง’ เช่น การขึ้นประโยคหรือการขึ้นย่อหน้าแรกในเรียงความชิ้นยาวที่ต้องส่งอาจารย์
ChatGPT คือเครื่องคิดเลขสมัยใหม่
ในอดีตมนุษย์เคยประดิษฐ์เครื่องมือที่ช่วยเปลี่ยนแปลงวงการคณิตศาสตร์มาแล้ว ซึ่งนั่นก็คือเครื่องคิดเลขนั่นเอง
เรื่องนี้มาจากความเห็นของ แดเนียล ลาเม็ตติ นักภาษาศาสตร์เชิงจิตวิทยาจาก Acadia University ที่เชื่อว่า ChatGPT จะมีประโยชน์ต่อวงการการศึกษาในด้านของการเขียนรายงาน เหมือนที่เครื่องคิดเลขเคยมีส่วยช่วยวงการคณิตศาสตร์
อย่างไรก็ดี ถึง ChatGPT จะเขียนรายงานแทนทุกคนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเข้าใจในสิ่งที่มันเขียน เพราะในความเป็นจริงแล้ว AI นี้ไม่ได้เข้าใจภาษา
ChatGPT จริงๆ แล้วเหมือนนกแก้วนกขุนทองที่จะพูดตามเจ้าของไปเรื่อย ซึ่งมีหลายครั้งที่เมื่อเราขอให้มันเขียนรายงานวิชาการสักชิ้น ถึงรายงานชิ้นนั้นดูผิวเผินจะเหมือนน่าเชื่อถือและเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้สูง แต่เมื่ออ่านดีๆ แล้วแทบตกเก้าอี้ เพราะมันมีสิ่งผิดพลาดเต็มไปหมด
ตรงนี้เองที่จะเป็นจุดสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ในรายงานที่ถูกเขียนโดย ChatGPT นักเรียนหรือนักศึกษาก็ต้องมาอ่านและแก้ไขข้อความให้ถูกต้องอยู่ดี (เพราะไม่เช่นนั้นครูก็รู้) ซึ่งการจะแก้ไขงานให้ถูกต้องได้นั้นสุดท้ายก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิชานั้นๆ อยู่ดี
ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจึงมองว่า วงการการศึกษายังไม่จำเป็นต้องกลัว ChatGPT มากจนเกินไป เพราะมันยังอยู่แค่การเริ่มต้นเท่านั้น และยังมีโอกาสที่เราจะสามารถพลิกสถานการณ์จากตัวโกงให้กลายเป็นตัวช่วยที่ทรงพลัง
เพราะ ChatGPT เป็นเหมือนพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มันจึงต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง
และคนที่รับผิดชอบก็คือมนุษย์อย่างพวกเรานั่นเอง
อ้างอิง: