เบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อุปทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระหว่างการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกวันนี้ (22 พฤศจิกายน) โดยตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นการสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทย ภายหลังเกิดหลายกรณีที่ส่งผลกระทบ ทั้งเหตุกราดยิง ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน และกรณีภาพยนตร์จีนที่ฉายเรื่องราวของแก๊งค้ามนุษย์ ที่หลอกลวงเหยื่อไปทำงานในแก๊งสแกมเมอร์ ซึ่งแม้จะไม่ระบุชื่อแต่มีลักษณะคล้ายประเทศไทย และอาจทำให้ชาวจีนมองว่าไทยเป็น ‘ดินแดนแห่งสแกมเมอร์’
อุปทูต เบญจมินทร์ กล่าวว่า “ประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ทางไทยไม่อยากให้เกิดขึ้น ในขณะที่การแก้ไขปัญหานี้ถือเป็นการแก้ปัญหาภาพลักษณ์โดยรวมของประเทศ”
ซึ่งทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง มองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกที่ต้องแก้ไข โดยมีความพยายามเพื่อฉายภาพลักษณ์ดีๆ ของไทยสู่สายตาชาวจีน เช่น การหาแนวร่วมอย่างอินฟลูเอ็นเซอร์ หรือกลุ่มนักเรียนนักศึกษาไทยในจีน หรือร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
และบางครั้งอาจมีการสร้างวิดีโอสั้นหรือภาพการท่องเที่ยวในไทยที่น่าสนใจ และสื่อสารในสิ่งที่ดีๆ ให้ชาวจีนได้เห็น พร้อมทั้งยืนยันว่าทางไทยไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ ขณะที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็พยายามกำชับทุกภาคส่วนให้ร่วมกันแก้ไขปัญหานี้
“ตอนที่เกิดปัญหาขึ้นมา เราก็พยายามในโอกาสแรกๆ ที่จะเข้าเยียวยา ให้ความช่วยเหลือครอบครัวของเหยื่อ ทางครอบครัวของเหยื่อเองก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้มองว่าเป็นความตั้งใจ แต่แน่นอนเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง แต่เราก็ได้พยายามช่วยกันเยียวยาแก้ไข ปัจจุบันนี้ เราก็พยายามอย่างที่สุดที่จะดึงภาพลักษณ์ดีๆ กลับมาให้กับคนไทย
ส่วนเรื่องผลกระทบจากการที่แก๊งอาชญากรรมจากจีนฉวยโอกาสในนโยบายฟรีวีซ่าเข้ามากระทำการต่างๆ ในไทยนั้น ทางอุปทูตชี้แจงว่า “ไทยและจีนมีความร่วมมือที่เป็นงานด้านความมั่นคง และมี MOU ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และมีความพยายามร่วมกันที่จะปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นปัญหาอยู่
“อาชญากรรมข้ามชาติในปัจจุบันนี้ก็มีการพัฒนาเทคโนโลยี ไม่ได้หยุดเพียงแค่อาชญากรรมแบบดั้งเดิม เพราะฉะนั้นในภาคความมั่นคงเราก็มีความร่วมมือโดยตลอด มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และมีการดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ ในส่วนกรณีโครงการลาดตระเวนของตำรวจจีนในไทยที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ทางอุปทูตชี้แจงว่า จีนก็เห็นถึงความตั้งใจของทางการไทยในการคุ้มครองดูแลพลเรือนจีนในไทย แต่อาจไม่ถึงขนาดลาดตระเวนร่วมตามที่เป็นข่าว และยืนยันว่าจะไม่มีตำรวจจีนมาปฏิบัติการในไทย โดยน่าจะเป็นไปในเชิงแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารมากกว่า