×

ฝนถล่ม, รถหมุน, เซฟตี้คาร์, ธงแดง, ธงดำ เกิดอะไรขึ้นในศึก F1 เซาเปาโลกรังด์ปรีซ์

04.11.2024
  • LOADING...

“ความรู้สึกของผมวันนี้ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา”

 

นั่นคือประโยคที่ Max Verstappen นักขับแชมป์โลกชาวดัตช์จากทีมเรดบูล เรซซิง พูดหลังจบเรซที่อินเตอร์ลากอส เซอร์กิต หรือออโตโดรโมโฆเซคาร์ลอสเพซ ในเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล

 

ไม่ใช่แค่ Verstappen เท่านั้น แต่สำหรับคนดูที่ดูเรซนี้ก็เหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกาไม่ต่างกัน เพราะเป็นเรซที่มีอะไรเกิดขึ้นมากมายและใช้เวลาการแข่งขันกว่า 2 ชั่วโมงหลังจากเวลาออกสตาร์ท

 

ซึ่งเรซนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรซที่มีเรื่องราวมากที่สุดในการแข่งขัน F1 ประจำฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้

 

เรื่องเริ่มต้นจากสายฝน

 

 

ความบันเทิงทั้งหมดในเรซนี้เริ่มจากฝนที่โปรยปรายลงมา แต่อาจจะไม่ใช่แค่ฝนของวันอาทิตย์ (ตามเวลาท้องถิ่น) เท่านั้น ที่ทำให้โฉมหน้าเรซที่ 21 ของฤดูกาล F1 สนามนี้ต้องปั่นป่วน แต่อาจจะเป็นเพราะฝนที่ตกลงมาตั้งแต่วันเสาร์แล้ว

 

ฝนวันเสาร์ทำให้รอบควอลิฟายที่ถูกวางไว้ตามกำหนดการไม่เป็นไปตามกำหนด และต้องมาแข่งขันรอบจัดอันดับกันตั้งแต่เวลา 07.30 น.

 

และก็ยังเป็นฝนอีกนั่นแหละที่ทำให้เรซนี้ต้องเลื่อนการแข่งขันเร็วขึ้น เพราะพยากรณ์อากาศระบุว่าในช่วงบ่ายวันอาทิตย์จะมีฝนตกหนัก ทำให้ฝ่ายจัดการแข่งขันเลื่อนเวลาแข่งขันจากเดิมเวลา 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ต้องเลื่อนมาแข่งขันกันเวลา 12.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 22.30 น. ตามเวลาไทย

 

แต่แม้จะเลื่อนการแข่งขันมาเร็วขึ้นแล้วก็หนีฝนที่เซาเปาโลไม่พ้นอยู่ดี การแข่งขันรอบควอลิฟายจึงจัดขึ้นบนพื้นสนามที่เปียกปอน และแน่นอนว่าแฟนๆ ก็ได้เห็นยางขอบเขียว หรือยาง Intermediate รวมไปถึงยางขอบฟ้าอย่างยาง Wet ที่ปกติจะหาดูได้ยากก็ยังเห็นในเรซนี้

 

แม้จะใช้ยางให้ตรงกับสภาพอากาศขนาดไหน แต่การขับรถด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ยังเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายอยู่ดี และนั่นเองที่ทำให้เห็นรถหลายคันจากนักขับหลายคนไปวัดกับแบริเออร์กั้นสนาม เช่น Franco Colapinto นักขับอาร์เจนไตน์จากทีมวิลเลียมส์, Carlos Sainz Jr. นักขับสเปนจากทีมเฟอร์รารี หรือ Lance Stroll นักขับแคนาดาจากทีมแอสตัน มาร์ติน

 

แต่ทั้งหมดที่ว่ามายังไม่หนักเท่า Alexander Albon Ansusinha นักขับชาวไทยจากทีมวิลเลียมส์ที่เสียหลักชนที่กั้นจนไม่สามารถแข่งขันในรอบเมนเรซได้

 

ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่ารอบควอลิฟายได้แสดงตัวอย่างอนาคตบางอย่างของรอบเมนเรซให้แฟนๆ ได้เห็นก่อนแล้วว่าการแข่งขันภายใต้สภาพอากาศเช่นนี้จะเป็นอย่างไร

 

ธงแดง และรถ 5 คันที่แข่งขันไม่จบ

 

 

หลังพักกันไปราว 4 ชั่วโมงจากรอบควอลิฟาย รอบเมนเรซก็เตรียมแข่งขันกัน โดยมีรถที่ร่วมการแข่งขันทั้งหมด 19 คัน หลังรถของ Ansusinha ไปต่อไม่ไหว

 

แต่ยังไม่ทันไรก็ได้เรื่องกันเลย เพราะเพียงแค่ Formation Lap เท่านั้น รถของ Stroll หมุนไปกินกรวดข้างทางและไปต่อไม่ไหว ทำให้การออกสตาร์ทต้องชะงักทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ และรถของ Stroll กลายเป็นรถคันที่ 2 ที่ต้องออกจากการแข่งขันไปในเรซนี้

 

หลังออกสตาร์ทไปยังไม่ 2 รอบดี กล้องมุมกว้างของการถ่ายทอดสดแสดงให้เห็นเมฆดำมืดครึ้มที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เหนือสนามแข่งขัน และทุกคนรู้ว่าอีกไม่นานฝนต้องเทลงมาแน่

 

จนในรอบที่ 32 ก็มีการสังเวยรถคันที่ 3 และเป็นคันที่ 2 ของทีมวิลเลียมส์ที่ต้องออกจากการแข่งขันไป หลัง Colapinto ไปชนเข้ากับที่กั้นอย่างแรง แม้ตัวนักขับจะไม่เป็นอะไร แต่มีเศษชิ้นส่วนกระจายอยู่ทั่วสนาม ทำให้ต้องเรียกธงแดงและรถทุกคันต้องกลับเข้าพิต

 

ซึ่งนี่เองเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแข่งขัน เพราะการกลับเข้าพิตในครั้งนี้ทำให้รถแต่ละคันสามารถเปลี่ยนยางได้ตามต้องการ ซึ่งทำให้นักขับบางคนกับรถบางคันที่เข้าไปเปลี่ยนยางก่อนหน้านี้ขาดทุนเวลาที่เสียไปในการเข้าพิตโดยปริยาย

 

รถอีกคันที่มีอันต้องออกจากการแข่งขันเพราะประสบอุบัติเหตุเนื่องจากถนนลื่นเกิดขึ้นในรอบ 40 ซึ่งเป็นรถของ Sainz Jr. ที่เสียหลักหลุดโค้งที่ 8 และกลับมาแข่งขันต่อไม่ไหว

 

อันที่จริงแล้วในเรซนี้ยังมีรถอีกหลายคันที่หมุนหรือหลุดแทร็ก เช่น Sergio Pérez นักขับเม็กซิกันจากทีมเรดบูล เรซซิง, Oliver Bearman นักขับดาวรุ่งจากทีมฮาส หรือแม้แต่ Fernando Alonso นักขับมากประสบการณ์จากทีมแอสตัน มาร์ตัน แต่รถของพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรมากและสามารถบังคับรถกลับมาสู่เส้นทางและแข่งขันต่อไปได้

 

ทว่ามีอยู่คนหนึ่งที่รถหลุดสนามเช่นกัน และแม้จะขับรถกลับมาสู่แทร็กเพื่อแสดงความต้องการร่วมการแข่งขันต่อไป แต่ในเวลาต่อมาเขาก็ถูกตัดสิทธิ์ นั่นคือ Nico Hülkenberg นักขับเยอรมันจากทีมฮาสนั่นเอง

 

ธงดำที่ไม่เห็นมาเกือบ 20 ปี

 

 

Hülkenberg ได้รับธงดำหลังจากกลับมาแข่งขัน หลังหลุดสนามไปในรอบที่ 28 ในตอนแรก เขาคิดว่าสามารถแข่งขันได้ตามปกติ

 

แต่เมื่อฝ่ายควบคุมการแข่งขันไปตรวจสอบภาพของเขาขณะหลุดออกนอกสนามอย่างละเอียดแล้ว พบว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ควบคุมการแข่งขันเพื่อกลับเข้าสู่การแข่งขัน

 

ตามกฎแล้วนักขับไม่ได้รับอนุญาตให้รับความช่วยเหลือจากปัจจัยภายนอกใดๆ เพื่อให้รถของตนกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง

 

โดยภาพแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมการแข่งขันผลักรถของ Hülkenberg ให้กลับมาแข่งขันอีกครั้ง เขาจึงได้รับธงดำและถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันไปโดยปริยาย

 

นี่เป็นการให้ธงดำครั้งแรกตั้งแต่ปี 2007 ของฝ่ายควบคุมการแข่งขันต่อนักแข่ง หรือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 17 ปีที่มีการให้ธงดำนั่นเอง

 

ความยอดเยี่ยมของแชมป์โลก

 

 

ตัดภาพจากความโกลาหลอลหม่านมาที่ความยอดเยี่ยมของ Verstappen ที่เขาคว้าแชมป์ได้สำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในเรซนี้ ซึ่งอาจจะถึงขั้นเหนือความคาดหมายสำหรับใครหลายๆ คนด้วย

 

ในเรซนี้ Verstappen ต้องออกสตาร์ทจากกริดที่ 17 แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อปล่อยตัวแล้วเขาแซงรวดเดียว 7 อันดับรวดมารั้งในอันดับที่ 10 ของการแข่งขันอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้น Verstappen ค่อยๆ ไล่แซงคู่แข่งทีละคันมาเรื่อยๆ ไล่ตั้งแต่ Pierre Gasly, Alonso, Oscar Piastri, Liam Lawson จนมารั้งอันดับที่ 6 หลังรอบที่ 20 และจี้ Charles Leclerc นักขับโมนาโกจากทีมเฟอร์รารี

 

และเมื่อ Leclerc ตัดสินใจเข้าพิตเปลี่ยนยางในรอบที่ 25 Verstappen ก็ขึ้นไปรั้งที่ 5 โดยไล่จี้อันดับ 4 อย่าง Esteban Ocon ราว 1 วินาที และ ณ จุดนั้นการลุ้นชัยชนะในสนามนี้เกิดขึ้นแบบเต็มตัวแล้ว

 

และหลังรอบที่ 28 ที่ Hülkenberg หลุดจากสนามไป 2 ผู้นำอย่าง George Russell นักขับสหราชอาณาจักรจากทีมเมอร์เซเดส และ Lando Norris นักขับเพื่อนร่วมชาติจากทีมแม็คลาเรน ต่างเข้าพิตไปเปลี่ยนยาง ทำให้ Verstappen ขึ้นไปรั้งอันดับ 2 ตามหลัง Ocon คนเดียวเท่านั้น

 

หลังจากนั้นนับได้ว่าเป็นโชคดีของ Verstappen หลัง Colapinto ประสบอุบัติเหตุในรอบที่ 32 ทำให้ต้องเรียกธงแดง ส่งผลให้รถทุกคันต้องเข้าไปรอที่พิต และทำให้เขาได้เปลี่ยนยางแบบไม่ต้องเสียเวลาเข้าพิต จนกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรซนี้

 

อีก 1 จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลัง Sainz Jr. หลุดสนามไปกระแทกแบริเออร์ ทำให้ต้องเรียกเซฟตี้คาร์ออกมาวิ่ง ซึ่งหลังจากหมดเซฟตี้คาร์แป๊บเดียวเท่านั้น Verstappen ก็แซง Ocon ขึ้นไปนำได้สำเร็จ

 

หลังจากนั้น Verstappen ทิ้งคู่แข่งชนิดไม่ปล่อยให้แซง คว้าแชมป์เรซที่ 8 ในฤดูกาลนี้ไปครอง และเป็นการกลับมาคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 11 เรซของเขาได้สำเร็จด้วย โดยเรซล่าสุดที่เขาคว้าแชมป์ต้องย้อนไปถึงสแปนิชกรังด์ปรีซ์เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมาเลยทีเดียว

 

โพเดียมแรกของทีมอัลพีน

 

 

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าประทับใจปนเหลือเชื่อคือทีมที่ไม่เคยขึ้นโพเดียม และเรียกว่าไม่ใกล้เคียงกับโพเดียมเลยในฤดูกาลนี้อย่างทีมอัลพีน จบในอันดับโพเดียมทั้ง 2 คัน

 

โดย Ocon ขับเคี่ยวกับ Verstappen ได้มากกว่า 40 รอบ ส่วน Gasly รักษาอันดับที่ 3 ได้ยาวนานกว่าครึ่งเรซ ดังนั้นนี่จึงเป็นโพเดียมที่คู่ควรกับพวกเขาทั้งคู่จริงๆ

 

ขณะที่ Verstappen นอกจากจะได้ 25 คะแนนจากการเป็นแชมป์เรซนี้แล้ว เขายังได้อีก 1 คะแนนจากการทำเวลาเร็วที่สุดต่อรอบหรือ Fastest Lab เก็บเพิ่มอีก 1 คะแนน ทำให้คะแนนรวมเพิ่มเป็น 393 คะแนน ฉีกหนี Norris ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่ 331 คะแนน ห่างเพิ่มเป็น 62 คะแนนแล้ว

 

และ Verstappen ยังทิ้งห่างอันดับที่ 3 อย่าง Leclerc ที่มี 307 คะแนน เป็น 86 คะแนนด้วย นั่นทำให้แม้ในทางทฤษฎีการลุ้นแชมป์โลกของ Leclerc จะยังเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติเรียกได้ว่าแทบหมดหวังแล้ว

 

โดยหลังจากนี้ F1 จะเข้าสู่ 3 สนามสุดท้าย ในศึกลาสเวกัสกรังด์ปรีซ์ วันที่ 23 พฤศจิกายน, กาตาร์กรังด์ปรีซ์ 1 ธันวาคม และอาบูดาบีกรังด์ปรีซ์ 8 ธันวาคมนี้

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X