×

ครบ 4 ปี ชัยภูมิ ป่าแส ภาพวงจรปิดหาย ทั้งที่นายทหารบอกเคยดูภาพแล้ว

16.03.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • 17 มีนาคม 2560 นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ถูกทหารใช้ปืนเอ็ม 16 ยิงเสียชีวิต โดยอ้างว่าผู้ต้องหามียาเสพติดและจะขว้างระเบิดใส่เจ้าหน้าที่
  • พยานในพื้นที่ระบุว่า ไม่เห็นภาพการต่อสู้ แต่เห็นการรุมทำร้ายร่างกายนายชัยภูมิโดยทหาร
  • ผ่านไป 4 ปีคดียังไม่คลี่คลาย หลักฐานสำคัญคือภาพวงจรปิดสูญหาย

วันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 นายชัยภูมิ ป่าแส หรือ จะอุ๊ นักกิจกรรมชาติพันธุ์ลาหู่ และประธานเครือข่ายเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมือง ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเสียชีวิต ที่ด่านบ้านรินหลวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยคดีนี้ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงปัจจุบัน เพราะมีข้อมูลจากหลากหลายที่ยังขัดแย้งกันอย่างสุดขั้ว

 

ภาพลักษณ์ของนายชัยภูมิเป็นนักกิจกรรมเยาวชนรุ่นใหม่ และเป็นแกนนำสำคัญของกลุ่มรักษ์ลาหู่ ที่ทำกิจกรรมร่วมกันกับเครือข่ายในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องเกือบ 8 ปี พร้อมผลงานมากมาย ทั้งการแต่งเพลงและภาพยนตร์สั้น ที่สะท้อนปัญหาของเด็กชายขอบ จนได้รับรางวัลช้างเผือกพิเศษดีเด่น ในเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 16 โดยมูลนิธิหนังไทย จากภาพยนตร์เรื่อง เข็มขัดกับหวี

 

ขณะที่ข้อมูลจากคนใกล้ชิดของนายชัยภูมิเชื่อว่า นายชัยภูมิไม่น่าเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด เพราะเป็นเด็กดีที่หาเลี้ยงครอบครัว และที่ผ่านมาได้ทำกิจกรรมทางสังคมมาโดยตลอด ไม่เคยข้องเกี่ยวกับอบายมุขใดๆ

 

ด้านฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐให้ข้อมูลว่า นายชัยภูมิมีเส้นทางการเงินที่น่าสงสัย โดยมีเงินจำนวนมากโอนเข้าทุกสัปดาห์ รถที่ใช้ก็เป็นของผู้ต้องหาคดียาเสพติด มีฉากหน้าเป็นนักกิจกรรมทางสังคม แต่ฉากหลังเป็นอีกอย่าง และที่สำคัญนายชัยภูมิเคยถูกตำรวจล่อซื้อยาเสพติดแต่หลบหนีไปได้

 

 

ข้อมูลเจ้าหน้าที่รัฐ ชัยภูมิคือผู้ค้ายาเสพติดที่ขัดขืนการจับกุม

ข้อมูลจากฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐระบุว่า นายชัยภูมินั่งรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซสีดำ (นั่งอยู่ข้างคนขับ) ไปที่ด่านตรวจถาวรบ้านรินหลวง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

 

เมื่อถึงด่านตรวจ นายชัยภูมิได้ต่อสู้โดยหยิบมีดขึ้นมา และวิ่งหนีไปทางป้อมตำรวจ ก่อนจะถูกยิงด้วยปืนเอ็ม 16 หนึ่งนัด เนื่องจากนายชัยภูมิควักระเบิดมาจะขว้างใส่ ภายหลังพบยาบ้า 2,800 เม็ดซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์คันดังกล่าว  

 

 

ข้อมูลรัฐสวนทางข้อมูลพยานเห็นเหตุการณ์

หลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สื่อมวลชนหลายสำนักลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า โดยพยานสำคัญที่ทำให้คดีนี้ถูกตั้งข้อสังเกตมากที่สุดคือชาวบ้านในที่เกิดเหตุ ที่ให้สัมภาษณ์กับ ThaiPBS ทหารลากชัยภูมิออกมาซ้อม เหยียบหน้าไว้แล้วยิงขู่สองนัด พอหลุดจากที่ทหารซ้อมวิ่งหนีไป ทหารก็ไล่ยิง โดยชาวบ้านไม่เห็นภาพการต่อสู้ขัดขืน เพียงแต่เห็นทหารลากคนลงมาซ้อม

 

ขณะที่รายการข่าว ล่าความจริง จากเนชั่น สัมภาษณ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ว่า “ผมเห็นเจ้าหน้าที่จับชายหนุ่มไว้หลังรถ แล้วก็เห็นมีต่อย มีการกระทืบ แล้วก็ได้ยินเสียงปืนดัง 1 นัด จากนั้นทหารก็เข้ามาเพิ่มอีก แล้วเห็นเจ้าหน้าที่ดึงน้องชายคนนั้นมาต่อยเข้าที่หน้า 1 ที เตะเข้าไปยอดอก 1 ที ก่อนที่น้องเขาจะวิ่งหนี ก็มีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ถือปืนตามไป 2 คนแล้วเขาก็หกล้ม แล้วมีแผลที่เท้าด้วย แล้วได้ยินเสียงคนที่อยู่ข้างหลังบอกว่ายิงยิงยิง แล้วก็ได้ยินเสียงปืนขึ้นอีก 3 นัด หลังจากเสียงปืน 3 นัด น้องคนนั้นก็ล้มลง แล้วชาวบ้านก็จะเข้าไปดู แต่ว่าเจ้าหน้าที่เขากันไม่ให้ดู แล้วเห็นเจ้าหน้าที่เขาเอาประตูมาปิดไม่ให้ชาวบ้านเห็น”

 

ภาพกล้องวงจรปิด หลักฐานสำคัญหายปริศนา

คงไม่ต้องมานั่งเถียงกันให้วุ่นวายว่าใครพูดความจริง เพราะสถานที่เกิดเหตุเป็นด่านตรวจถาวรซึ่งมีกล้องวงจรปิด 9 ตัวบันทึกภาพ

 

แต่แล้วหลักฐานสำคัญก็ไม่ปรากฏอย่างเป็นปริศนา โดยนอกจากจะไม่นำมาเผยแพร่ให้สาธารณชนได้เห็นแล้ว ยังไม่มีในสำนวนที่ส่งให้ศาลพิจารณา

 

นายรัษฎา มนูรัษฎา อุปนายกสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ทนายความคณะทำงานคดีชัยภูมิ ป่าแส กล่าวในงานเสวนาครบ 4 ปี การเสียชีวิตของชัยภูมิว่า หลักฐานสำคัญคือกล้องวงจรปิด 9 ตัว ซึ่งนายทหารระดับสูงเคยให้สัมภาษณ์ว่า เคยได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิด แต่ในชั้นนี้ เกือบครบ 4 ปีแล้ว ยังไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดให้ศาลเห็น

 

เมื่อมีหมายเรียกจากศาล มีหนังสือแจ้งตอบจากพนักงานสอบสวนว่า ไม่พบภาพในวันที่ 17 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุในตัวฮาร์ดดิสก์ หมายความว่าพยานหลักฐานถูกทำให้สูญหายไป

 

 

ไม่พบลายนิ้วมือชัยภูมิที่มีด ส่วนระเบิดมีดีเอ็นเอหลายคน

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของการไต่สวนคดีการเสียชีวิตของนายชัยภูมิ ป่าแส

 

นายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น และทนายความญาติผู้เสียชีวิตเปิดเผยว่า การไต่สวน 2 วันที่ผ่านมา ในส่วนเรื่องของอาวุธที่พบในที่เกิดเหตุ ทั้งมีดและระเบิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่าชัยภูมิใช้เพื่อขัดขืนต่อสู้ ขณะตรวจค้นปรากฏว่า ไม่พบลายนิ้วมือที่มีด ส่วนระเบิดมีดีเอ็นเอบางส่วนของชัยภูมิปะปนอยู่ ซึ่งลูกระเบิดนั้นไม่ได้มีดีเอ็นเอของชัยภูมิคนเดียว แต่มีของหลายคนรวมอยู่ด้วย

 

ส่วนกรณีภาพวงจรปิด ส่วนตัวยังคิดว่ายังเป็นหลักฐานสำคัญที่จะคลี่คลายให้เรื่องนี้กระจ่างยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ทีมทนายความจะคุยกันว่าจะให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบข้อมูลว่าภาพหายไปได้อย่างไร เนื่องจากที่ผ่านมาทั้ง พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และ พล.ท. วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ต่างออกมายืนยันว่า ได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว

 

“สังคมต้องออกมาเรียกร้องว่าภาพจากกล้องวงจรปิดที่ด่านบ้านรินหลวงขณะวิสามัญชัยภูมิ หายไปได้อย่างไร เนื่องจากทั้ง ผบ.ทบ. และแม่ทัพภาคที่ 3 ต่างออกมายืนยันว่าได้เห็นภาพดังกล่าวแล้ว และเราอยากรู้ว่าถ้าเห็นแล้ว ไปเห็นมาจากไหน ตอนนี้ภาพนั้นยังอยู่หรือไม่” นายสุมิตรชัยกล่าว

 

คดีวิสามัญนายชัยภูมิยังเป็นปริศนาและมีข้อพิรุธน่าสงสัยตั้งแต่วันแรกของคดีจนผ่านไป 4 ปี ก็แทบไม่มีปริศนาและข้อพิรุธใดจางหายไปเลย สวนทางกับกระแสความสนใจและเสียงเรียกร้องของสังคมต่อคดีนี้ที่จางหายลงไปทุกที

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X