วันนี้ (2 มิถุนายน) ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ลุกขึ้นชี้แจงถึงข้อสังเกตของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่ไม่เห็นด้วยในวาระรับหลักการต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณปี 2566 ว่าการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลที่ผ่านมาทุกปีเป็นการตั้งงบประมาณตามสภาวะสถานการณ์เศรษฐกิจและความจำเป็นที่จะต้องใช้ลงทุนเพื่อประเทศ โดยตัวเลขงบประมาณของแต่ละกระทรวงมีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง ซึ่งหากจะให้งบประมาณบางส่วนหายไปเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของงบประจำ คือเงินเดือนและงบลงทุน
ชัยวุฒิกล่าวว่า หลังจากรับหลักการไปแล้ว สิ่งใดที่เห็นว่าไม่เหมาะสม หรือบางกระทรวงได้รับงบประมาณมากหรือน้อยเกินไป ก็สามารถแปรญัตติตัดลดได้
สำหรับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปี 2566 อยู่ที่ 6,822 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 3,332 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุนที่ 3,490 ล้านบาท
ภาพรวมของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในปี 2566 นั้นมีโครงการที่ดีหลายโครงการที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลให้เข้มแข็งได้
สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลทางกระทรวง ได้ร่วมมือกับ กสทช. ในการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตเพื่อกระจายความเจริญในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในทุกหมู่บ้าน หรืออินเตอร์เน็ตประชารัฐ ทำให้วันนี้คนไทยมีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกว่า 80% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมากต่อค่าเฉลี่ยของโลก
สำหรับธุรกิจออนไลน์และโซเชียลมีเดีย นับเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว และเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเศรษฐกิจดิจิทัลจะมีส่วนสำคัญต่อ GDP ของประเทศไทย
นอกจากนั้นกระทรวงดีอีเอสพยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการทำธุรกิจด้านดิจิทัล โดยมีความสำคัญอยู่ที่การขยายเส้นทางและความจุสายเคเบิลใต้น้ำ
สำหรับการนำสายสื่อสารลงใต้ดินนับว่าเป็นปัญหาใหญ่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีสายสื่อสารพาดบนเสาไฟฟ้าอยู่มาก และส่วนใหญ่เป็นสายที่ไม่ได้ใช้แล้ว เช่น สายโทรศัพท์บ้าน ซึ่งในประเด็นนี้รัฐบาลพยายามเร่งแก้ปัญหานี้อยู่ โดยการนำสายไฟฟ้าที่ไม่ใช้แล้วออกและจัดระเบียบสายที่ใช้อยู่ใหม่ แต่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
นอกจากนั้นรัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังสนับสนุนเรื่องอีสปอร์ตสร้างงานสร้างรายได้ ซึ่งจากนี้จะไม่ใช่เพียงการสร้างความสนุก แต่เป็นการสร้างรายได้และเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่มีการแข่งขันระดับโลก
สำหรับปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทางกระทรวงได้มีการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและแจ้งความออนไลน์ เพื่อสร้างความสะดวกสบายแก่พี่น้องประชาชน
นอกจากนี้ชัยวุฒิยังกล่าวถึงพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ว่ารัฐบาลได้ออกกฎหมายนี้ขึ้นมาเพื่อคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัวหรือประวัติการรักษาพยาบาล หรือแม้กระทั่งประวัติในการซื้อของออนไลน์ เนื่องจากที่ผ่านมาข้อมูลของประชาชนรั่วไหลเป็นจำนวนมากจึงเกิดกฎหมาย PDPA นี้ขึ้นมา ซึ่งต่อไปนี้ข้อมูลส่วนบุคคลจะมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พี่น้องประชาชนจะมีความเชื่อมั่นและเชื่อใจต่อการทำธุรกิจออนไลน์ โดยหลายฝ่ายกังวลยังมีความกังวลต่อกฎหมายฉบับนี้ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร สามารถสอบถามรายละเอียดต่างๆ ได้ผ่านกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม