วันนี้ (1 มกราคม) ชัยธวัช ตุลาธน สส. บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการทำงานของฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลว่า พรรคฝ่ายค้านแต่ละพรรคเน้นให้ความสำคัญที่แตกต่างกันไป ซึ่งพรรคก้าวไกลเน้นติดตามเรื่องกระบวนการยุติธรรม การจัดการความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงข้อเสนอนิรโทษกรรมทางการเมืองและการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นนโยบายทางการเมืองที่ผลักดันอย่างต่อเนื่อง
ชัยธวัชยังกล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ ในเรื่องเศรษฐกิจเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตพรรคก้าวไกลก็ติดตาม เช่นเดียวกับเรื่องนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ก็เป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาล เท่าที่เห็นบอกว่าจะได้รับงบประมาณ 5 พันล้านบาท แต่งบประมาณส่วนใหญ่ใช้กับการจัดอีเวนต์รวมถึงอบรมสัมมนา กลายเป็นการเอางบอบรมสัมมนาที่มีอยู่ตามแผนเดิมอยู่แล้วมาปัดฝุ่นใหม่แล้วเปลี่ยนปก ซึ่งอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในสิ่งที่คาดหวังว่าจะอัปสกิลหรือรีสกิลประชาชน เพื่อให้มีทักษะในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ชัยธวัชกล่าวว่า ในส่วนของเรื่องค่าไฟคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะมีการทบทวนพูดคุยกับเอกชนที่เป็นคู่สัญญารวมถึงการทำสัญญาใหม่ๆ เกี่ยวกับพลังงานสะอาด 5,000 เมกะวัตต์ที่ได้ทยอยเซ็นไปแล้วด้วย
รอดูผลงานรัฐบาลก่อน หากผิดพลาดยื่นซักฟอกทันที
ชัยธวัชยังกล่าวอีกว่า เปิดปีใหม่ขึ้นมาการทำงานร่วมกันของฝ่ายค้านจะเต็มตัวและเป็นทางการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางเป้าหมาย แผนงานในการผลักดันร่วมกัน ส่วนที่หลายคนมองว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจมีความเป็นไปได้ที่จะพลิกขั้วไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหากมีการปรับ ครม. ทำให้ฝ่ายค้านเหลือคนไม่มากในการทำงานนั้น ขออย่าเพิ่งไปกังวลล่วงหน้า เอาปัจจุบันให้ดีที่สุดก่อน อนาคตทางการเมืองจะเกิดอะไรขึ้นก็ปรับตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตนคิดว่าวันนี้ยังคงเป็นพรรคฝ่ายค้านร่วมกัน พรรคก้าวไกลในฐานะพรรคแกนนำฝ่ายค้านก็ต้องทำงานโดยเคารพและให้เกียรติกับทุกพรรค
“อย่างไรก็ต้องเคารพกัน มันไม่มีปัญหาหรอก ผมยกตัวอย่าง ถ้าเราจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ข้อมูลของแต่ละพรรคเป็นความลับอยู่แล้ว ดังนั้นไม่กระทบอะไร เป็นเรื่องของแต่ละพรรค เพียงแต่ต้องตัดสินใจร่วมกันว่าต้องอภิปรายหรือไม่ ผมคิดว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่เป็นเอกภาพ 100% หมายความว่าอาจไม่ได้เห็นร่วมกันทุกเรื่อง แต่มีเรื่องที่เห็นร่วมกัน แล้วสามารถเป็นเนื้อหา เป็นเงื่อนไขที่เราวางแผนทำงานร่วมกันได้ ส่วนที่เห็นต่างกันก็แยกทำคนละบทบาทได้” ชัยธวัชกล่าว
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้นไม่ได้อยู่ที่การให้เวลารัฐบาลทำงาน แต่อยู่ที่ข้อมูลข้อเท็จจริง ถ้าตรวจพบว่ามีการใช้อำนาจโดยมิชอบ หาผลประโยชน์หรือคอร์รัปชัน หรือใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินจนเกิดความเสียหายรุนแรง เราก็พร้อมที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกเมื่อ ซึ่งข้อมูลของแต่ละพรรคจะไม่มีการให้กันอยู่แล้ว ถือว่าเป็นข้อมูลชั้นความลับ เป็นมาตรฐานการทำงานของเรา
“สำหรับพรรคก้าวไกลนโยบายเราเป็นแบบนี้ เอาข้อเท็จจริงเป็นตัวตั้ง เพราะเราไม่ได้อยากอภิปรายแบบใช้โวหาร หรือเป็นการอาศัยการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อต่อรองผลประโยชน์กัน เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับเนื้อหาเป็นหลัก และขึ้นอยู่กับการไปคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นเช่นเดียวกับการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 ด้วย หากในช่วงต้นปีหน้าไตรมาสแรก การบริหารรัฐบาลมีปัญหามากจริงๆ ก็อาจเสนอให้เปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติเพื่อที่จะสะท้อนการทำงานของรัฐบาล” ชัยธวัชกล่าว
อภิปรายไม่ไว้วางใจไม่จบแค่เสียงโหวตในสภา
ชัยธวัชกล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่เสียงฝ่ายค้านไม่สามารถที่จะชนะในสภาได้อยู่แล้ว แต่ในทางการเมืองในการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่จบแค่เสียงโหวตในสภาเท่านั้น แต่จะถูกพิพากษาโดยสังคม ซึ่งจะส่งผลต่อรัฐบาลอย่างแท้จริง ว่าถ้ารัฐบาลถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วไม่สามารถตอบคำถามใดๆ ได้จนกระทบกับความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างรุนแรง แม้จะชนะเสียงโหวตในสภาแต่สุดท้ายก็จะจบด้วยการยุบสภา หรืออย่างน้อยก็ปรับ ครม. ฉะนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพในการอภิปราย ในการเก็บข้อมูลเป็นหลัก
บทบาทฝ่ายค้านจะเข้มข้นขึ้น
เมื่อถามว่าจะให้คะแนนการทำงานพรรคฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคก้าวไกลตลอดปีที่ผ่านมาอย่างไร ชัยธวัชกล่าวว่า ช่วงสมัยที่ผ่านมาต้องบอกว่ายังไม่เห็นบทบาทของฝ่ายค้านชัดเจนนัก เพราะช่วงแรกเสียเวลาไปเยอะกับการเลือกนายกรัฐมนตรีกว่าจะมีรัฐบาล และมีวาระสำคัญแค่เรื่องการแถลงนโยบายในสมัยประชุมที่แล้ว เรื่องอื่นไม่มีเลย เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้เตรียมร่างกฎหมายไว้ พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ค่อยมีการผลักดันร่างกฎหมาย ฝ่ายค้านจึงยังไม่มีโอกาสทำงานมากนัก ส่วนคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ กว่าจะตั้งได้ก็ล่าช้า ฉะนั้นเรื่องการให้คะแนนคงต้องให้ประชาชนเป็นคนให้คะแนน แต่บทบาทไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านจะมีความเข้มข้นชัดเจนมากยิ่งขึ้นคือในสมัยประชุมนี้
ส่วนที่หลายคนมองว่าเป็นฝ่ายค้านแต่ค้านไม่สุด เพราะอาจมีความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทยอยู่นั้น ชัยธวัชกล่าวว่า ขอให้รอพิสูจน์จากการปฏิบัติ ยืนยันว่าเราไม่มีลับลมคมใน ไม่มีวาระซ่อนเร้น พรรคก้าวไกลยังคงทำงานอย่างตรงไปตรงมาว่ากันด้วยเหตุผล
“ไม่ได้มองว่าพรรคฝ่ายค้านจะต้องค้านทุกเรื่อง ถ้าเรื่องไหนเป็นประโยชน์เราก็พร้อมสนับสนุน ผลักดัน หรือเห็นว่าเป็นประโยชน์ หรือเห็นว่าเป็นประโยชน์แต่คิดว่าดีกว่านี้ได้ก็จะเสนอแนะ ฉะนั้นการทำงานของพรรคฝ่ายค้านเอง เราอยากจะมีทั้งสองด้าน คือตรวจสอบสมดุลที่ต้องทำงานอย่างเต็มที่ว่ากันไปตามเนื้อหา ไม่ต้องเกรงใจใคร แต่อีกด้านหนึ่งอยากจะเห็นบรรยากาศการทำงานในสภาที่สามารถร่วมไม้ร่วมมือโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง” ชัยธวัชกล่าว