ทำไม ‘CHAGEE’ แบรนด์ชาสัญชาติจีนถึงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจนมีสาขามากกว่า 6,000 แห่งทั่วโลก โดยผู้ก่อตั้งเน้นชูภาพลักษณ์เรียบหรู ปีนี้ตั้งใจเปิดให้ครบ 5 สาขา หวังจับกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง
หากพูดถึง ‘CHAGEE’ นั้นเป็นแบรนด์ชาระดับพรีเมียมสัญชาติจีน ต้นกำเนิดของแบรนด์มาจากไอเดียของ ‘จาง จุนเจี๋ย’ นักธุรกิจหนุ่มชาวจีนวัย 30 ปีที่ต้องการคืนชีพวิธีการชงชาโบราณผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เน้นสร้างเอกลักษณ์ให้โปรดักต์เป็นชาระดับพรีเมียมไม่เน้นใส่น้ำตาลและไข่มุก
สิ่งที่ทำให้แบรนด์ต่างจากแบรนด์ชานมทั่วไป คือกลยุทธ์การออกแบบโลโก้และแพ็กเกจ ที่ได้ผสานลวดลายสถาปัตยกรรมโบราณเอาไว้ เน้นชูภาพลักษณ์ความเรียบหรูแบบจีนและได้ออกแบบร้านให้มีบรรยากาศเหมือนเลานจ์มากกว่าร้านทั่วไป
หากย้อนไปในปี 2017 ร้าน CHAGEE ได้ประเดิมเปิดสาขาแรกในมณฑลยูนนาน พร้อมกับการสร้างซัพพลายเชนขึ้นมาให้แข็งแกร่ง ใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งปีแบรนด์ได้รับกระแสความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีนอย่างมาก จนต้องขยายสาขาในจีนมากกว่า 1,000 แห่ง
จากนั้นในปี 2018 ได้ขยายธุรกิจออกนอกประเทศ เริ่มบุกตลาดเอเชียแปซิฟิก ทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และไทย ทำให้ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 6,000 แห่งทั่วโลก โดยประมาณ 97% ของสาขาทั้งหมดอยู่ในประเทศจีน
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดชานม แต่ CHAGEE กลับประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยมียอดขายมากกว่า 2 ล้านแก้วต่อเดือน และอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในปี 2024 ได้เข้าไปเปิดสาขาแรกที่ห้าง Westfield Century City ในสหรัฐฯ
พร้อมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq เสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยระดมทุนได้ 411 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.37 หมื่นล้านบาท) และยังตั้งราคาในระดับสูงสุด ทำให้ตัวเขากลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน ตามดัชนี Bloomberg Billionaires Index มีมูลค่าทรัพย์สิน1.8 พันล้านดอลลาร์ (ราว 6 หมื่นล้านบาท) จากหุ้นที่ถืออยู่ในมือ
กระทั่งล่าสุด CHAGEE ยังได้สร้างความเคลื่อนไหวในตลาดไทยอีกครั้ง หลังเปิดให้บริการไปแล้ว 3 สาขา ได้แก่ พาร์ค สีลม เอ็กซ์เซนจ์ ทาวเวอร์ และวานิช วิลเลจ โดยมีเมนูมากกว่า 10 รายการ ราคาเริ่มตั้งแต่ 100-120 บาท เน้นจับกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป
Summer Lin ผู้จัดการทั่วไปของ CHAGEE ประเทศไทย กล่าวว่า สาขา CHAGEE ในไทยอยู่ภายใต้คอนเซปต์ Tea Bar ออกแบบมาให้เป็นบ้านหลังที่สามของผู้บริโภคสอดคล้องกับพฤติกรรมการดื่มชาของคนไทยที่เปลี่ยนไปและยังเตรียมขยายสาขาเพิ่มอย่างน้อยรวมเป็น 5 สาขาในปี 2025 ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก ส่วนการขยายไปต่างจังหวัด ต้องรอดูความต้องการของคนในพื้นที่อีกครั้ง
