วันนี้ (6 พฤศจิกายน) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำของกรุงเทพมหานครว่า สถานการณ์น้ำท่วมยังไม่หมดไป และจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า เนื่องจากกรุงเทพฯ กำลังจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจาก 3 น้ำ พร้อมกัน น้ำแรกคือ น้ำทะเลหนุนสูงสุด ซึ่งได้รับอิทธิพลจากพายุคัลแมกี ทำให้เกิดภาวะคล้ายสตอร์มเสิร์จ (Storm surge) ดันให้น้ำในทะเลจีนใต้และอ่าวไทยสูงขึ้น
โดยวันนี้สูงกว่าเมื่อวาน(5 พฤศจิกายน) ประมาณ 45 ซม. เป็นเหตุให้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยายกตัวสูงขึ้น น้ำที่สองคือ น้ำเหนือ ซึ่งปัจจุบันมีการปล่อยน้ำในอัตรา 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในปีนี้ และน้ำที่สามคือ น้ำฝน แม้ร่องมรสุมจะเคลื่อนลงไปใต้กรุงเทพฯ แล้ว แต่หากทั้งสามปัจจัยนี้มาเจอกัน ก็ยังคงเป็นปัญหาที่น่ากังวล
ผู้ว่าฯ ชัชชาติกล่าวเน้นย้ำว่า หัวใจสำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ คือการเรียงกระสอบทราย เพื่อเป็นแนวป้องกันหลัก จึงได้สั่งการให้ทุกเขตและสำนักการระบายน้ำเน้นเรื่องความแข็งแรงของการวางกระสอบทราย โดยเฉพาะในจุดที่ยังมีความอ่อนแอ เพราะระดับน้ำอาจสูงขึ้นได้อีก
พร้อมกันนี้ได้กำชับให้ดูแล ชุมชนที่อยู่นอกคันกั้นน้ำ เช่น ชุมชนโรงสี และชุมชนวัดเทวราชกุญชร ที่อาจมีน้ำรั่วซึมเข้ามาได้ นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้กวดขันจุดก่อสร้างต่าง ๆ เนื่องจากที่ผ่านมาพบปัญหาการทิ้งเศษวัสดุก่อสร้างลงไปในท่อระบายน้ำหลายจุด เช่น บริเวณโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มที่รามคำแหง โดยให้เขตเข้าไปกำชับทุกจุดก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นงานทางเท้าของ กทม. การปรับปรุงถนน และการก่อสร้างรถไฟฟ้า
ผู้ว่าฯ ชัชชาติระบุว่า หากมีพายุคัลแมกีเข้ามาอีก ก็อาจจะต้องมีการเพิ่มการระบายน้ำ แต่ขอให้ประชาชนไม่ต้องตระหนก เนื่องจาก กทม. มีการเตรียมพร้อมในการรับมือสถานการณ์ไว้อย่างดีแล้ว และจะติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดต่อไป


