วันนี้ (13 พฤษภาคม) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยความคืบหน้าการส่งมอบคืนพื้นที่เกิดเหตุอาคารถล่มให้แก่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ ว่า กทม. ได้หารือกับ สตง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย โดยเน้นการแบ่งความรับผิดชอบและการดำเนินการต่อจากนี้ ซึ่งหลายหน่วยงานได้เริ่มทยอยถอนกำลังออกจากพื้นที่แล้ว
ชัชชาติระบุว่า การพูดคุยหลักกับ สตง. คือการกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบ และ กทม. พร้อมให้การสนับสนุน สตง. อย่างต่อเนื่องหากต้องการความช่วยเหลือ เช่น ห้องน้ำสาธารณะ หรือกล้อง CCTV อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเรื่องกองเศษเหล็กด้านข้างอาคารที่อาจมีผู้ลักลอบนำไปขาย
สำหรับญาติผู้ประสบภัยที่ยังรอการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ผู้ว่าฯ ชัชชาติกล่าวว่า ได้แจ้งให้ญาติทราบว่าทางนิติเวชมีช่องทางการติดต่อประสานงาน ไม่จำเป็นต้องไปรอที่นิติเวช เพื่อให้สามารถกลับไปดำเนินชีวิตประจำวันได้ โดย กทม. จะให้ความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด
เมื่อถามถึงความสมบูรณ์ของภารกิจ กทม. ตลอด 48 วัน ชัชชาติกล่าวว่า จำเป็นต้องมีการถอดบทเรียนและปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือช่วยเหลือ โดย กทม. เป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่ความร่วมมือจากทุกฝ่ายโดยไม่หวังผลตอบแทนถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทยในยามวิกฤต
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังกล่าวถึงศักยภาพของทีม USAR Thailand ว่า แม้ทีมจะอยู่ในระดับกลาง (Medium Level) แต่เทียบเท่าระดับหนัก (Heavy Level) ของต่างชาติ และควรตั้งเป้าพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ส่วน กทม. เองยังขาดแคลนโดรน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่ที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน
หลังจากนี้ กทม. จะพิจารณาเรื่องค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายของอาสาสมัครที่เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่ง กทม. ต้องการตอบแทนน้ำใจ โดยได้มอบหมายให้ รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตรวจสอบหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารื้อถอนว่าสามารถใช้งบประมาณจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้หรือไม่ เพื่อสรุปตัวเลขและชดเชยให้ผู้ที่เสียสละต่อไป