วันนี้ (19 มิถุนายน) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวที่นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเมียนมา เมื่อเวลา 08.40 น. ของวันนี้ ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีและกรุงเทพมหานครได้รับความรู้สึกสั่นไหว
ชัชชาติกล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ศูนย์กลางอยู่นอกชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ของประเทศเมียนมา ความรุนแรง 6 ริกเตอร์ ความลึกประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งห่างจากกรุงเทพมหานคร 500 กิโลเมตร ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่หลายเขตรู้สึกได้ จากข้อมูลการรายงานจากผู้อำนวยการเขตพบว่ามี 10 เขตที่รู้สึกได้ คือ จตุจักร บางรัก คลองเตย ลาดพร้าว บางเขน หลักสี่ ห้วยขวาง บางพลัด บางขุนเทียน และหนองแขม โดยเป็นเขตที่มีอาคารสูง แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้กรุงเทพมหานครได้ร่วมกับทีมวิจัยหลายมหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาการรับมือมานานแล้ว โดยติดตั้งเครื่องวัดความสั่นสะเทือนที่ชั้น 36 อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ดินแดง)
ด้าน วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครเริ่มมีการติดวัดเครื่องมือเพื่อวัดความสั่นสะเทือนของอาคารธานีนพรัตน์ กทม. (ดินแดง) บนชั้น 36 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ตัวกราฟแสดงให้เห็นว่าตามอัตราเร่งของ Peak Resiversion หน่วยเป็น milli-g (มิลลิจี) โดย g คือค่าแรงโน้มถ่วงของโลก
บนอาคารธานีนพรัตน์วัดได้ 3.5 milli-g ซึ่งคนจะรับรู้ความรู้สึกได้ เมื่อค่าความเร่งในแนวราบจากแรงแผ่นดินไหวอยู่ที่ 1-2 milli-g ซึ่งในส่วนของชั้น 4 ของอาคารภาควิชาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ค่าความเร่งอยู่ที่ 1.5 milli-g
สำหรับความต้านทานแรงแผ่นดินไหว หากเป็นอาคารเก่าที่สร้างก่อนกฎกระทรวงปี 2550 ซึ่งไม่ได้ออกแบบให้ครอบคลุมถึงเรื่องความสามารถต้านทานแรงแผ่นดินไหวได้ จะสามารถต้านทานได้อยู่ที่ 50 milli-g เมื่อวัดที่ฐานของโครงสร้าง และที่ 150 milli-g เมื่อวัดที่ยอดของโครงสร้าง ส่วนอาคารที่ออกแบบให้สามารถต้านทานแรงจากแผ่นดินไหวได้ ภายหลังการออกกฎกระทรวงปี 2550 นั้น จะสามารถรับค่าความเร่งได้ถึง 100 milli-g เมื่อวัดที่ฐานของโครงสร้าง และสามารถรับค่าความเร่งได้ถึง 500 milli-g เมื่อวัดที่ยอดของโครงสร้าง
วิศณุกล่าวต่อว่า กรุงเทพมหานครได้ส่งเจ้าหน้าที่สุ่มสำรวจตรวจสอบอาคารที่อาจได้รับผลกระทบจากแรงแผ่นดินไหว พบว่าไม่มีอาคารใดได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ข้างต้น จึงสรุปได้ว่าแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นวันนี้อยู่ในระดับที่ทำให้คนรู้สึกได้ชัดเจนและทำให้เกิดความวิตกต่อผู้ใช้อาคาร แต่ยังไม่รุนแรงเพียงพอที่จะส่งผลทำให้เกิดความเสียหายของโครงสร้างอาคารได้
ฉัตรพันธ์ จินตนาภักดี อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิจัยด้านแผ่นดินไหว ได้ร่วมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่พบความเสียหายเนื่องจากเกิดห่างจากประเทศไทยมาก ซึ่งเดิมเคยเกิดที่จังหวัดเชียงรายในปี 2557 และมีความเสียหายเกิดขึ้น แต่ในครั้งนี้เกิดความรุนแรงในที่ระดับต่ำมาก ประชาชนที่อยู่ในตึกสูงอาจจะรู้สึกได้และเกิดความตระหนก ซึ่งการออกแบบอาคารในกรุงเทพฯ สามารถต้านทานได้ ไม่มีปัญหา
วันนี้ถือว่าเป็นการฝึกซ้อมเผชิญเหตุในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นอีก ซึ่งยังไม่สามารถทำนายได้ ต้องเตรียมพร้อมอาคารให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนด ถือว่ามีรูปแบบและคุณลักษณะที่สูงเพียงพอ อย่างไรก็ดี อาคารในกรุงเทพฯ มีความหลากหลาย มีทั้งอาคารที่สร้างถูกต้องและอาคารที่สร้างเอง ซึ่งจะมีความเสี่ยงมากกว่า โดยเฉพาะอาคารที่ชั้นล่างมีความอ่อนแอ เปิดโล่ง มีเสาไม่กี่ต้น และด้านบนมีสิ่งก่อสร้าง มีกำแพง ทำให้ชั้นล่างจะมีความเสี่ยงมากกว่า
อมรเทพ จิรศักดิ์จำรูญศรี อนุคณะกรรมการด้านแผ่นดินไหวของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) วิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า ค่าความเร่งการสั่นสะเทือน หรือค่า milli-g ที่วัดได้จากอาคารธานีนพรัตน์ 3.5 milli-g นั้น ทำให้คนที่อยู่บนอาคารรู้สึกได้หรือสิ่งของสั่นไหวได้ ซึ่งหากรุนแรงถึงระดับ 10-20 milli-g อาจมีความเสียหายได้ แต่ขณะนี้ตัวเลขยังต่ำอยู่ อาคารจึงมีความปลอดภัยแน่นอน ซึ่งโครงการวิจัยที่ดำเนินการร่วมกับ กทม. อยู่ในอนาคตจะมีการติดตั้งเครื่องมือในอาคารให้มากขึ้น และสามารถแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้งานอาคารได้ทันที
วิศณุกล่าวเพิ่มเติมว่า การติดเครื่องมือทำให้เราทราบพฤติกรรมตึกมากขึ้น ต่อไป กทม. จะติดเครื่องมือในอาคารสาธารณะ อาคารสูง และโรงพยาบาลของ กทม. 6 แห่ง กฎกระทรวงที่ใช้เพื่อควบคุมอาคารในเรื่องแผ่นดินไหวมีมาตั้งแต่ปี 2550 และมีอาคารที่ขออนุญาตภายใต้กฎกระทรวงฉบับนี้ จำนวน 2,887 อาคาร และมีมาตรฐานของ วสท. ซึ่งออกในปี 2565 ครอบคลุมอาคาร 141 อาคาร รวม 3,028 อาคาร แต่ยังมีอาคารที่ก่อสร้างก่อนปี 2550 โดยเป็นอาคารสูงมากกว่า 6 ชั้นขึ้นไป จำนวน 11,482 อาคาร แต่อาคารเหล่านี้ก็มีการออกแบบเพื่อรองรับอยู่แล้ว
ขณะที่ ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงเรื่องแผนการรับมือภัยพิบัติของกรุงเทพมหานครว่า กทม. ยังคงสำรวจอาคารและทำแผนที่อาคารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะมีการสำรวจโครงสร้างเป็นระยะด้วย ซึ่งการเกิดแผ่นดินไหวยังไม่สามารถเตือนล่วงหน้าได้ เมื่อเกิดเหตุจึงต้องมีเครื่องมือวัดและสามารถแจ้งเตือนประชาชนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องที่เราต้องเตรียมพร้อม
ทั้งนี้ ระบบที่ประเทศไทยมีอยู่ในขณะนี้คือ Line Alert ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่ง กทม. ได้ร่วมในการแจ้งเตือนเรื่องฝุ่น PM2.5 ซึ่งจากนี้ไปจะเชื่อมโยงข้อมูลเพิ่มเติม โดยให้เขตสำรวจพื้นที่สั่นไหวที่รู้สึกได้และรายงานเข้าสู่ระบบ อีกส่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้ข้อมูลความรู้แก่ประชาชนคือเรื่องของการปฏิบัติตนเมื่ออยู่ในอาคาร การซักซ้อมการเผชิญเหตุ ถึงแม้อัตราการเกิดเหตุใน กทม. จะน้อย แต่ในบางครั้งคน กทม. เดินทางไปเที่ยวในจุดเสี่ยง จึงจำเป็นต้องให้ความรู้ด้วยเช่นกัน
การทำผังอาคารและสัญลักษณ์ต่างๆ ให้ชัดเจน ที่ผ่านมา กทม. ได้ตรวจสอบอาคารที่เป็นสถานประกอบการ และอาคารที่ต้องเป็นไปตามกฎกระทรวงอยู่แล้ว โดยเดิมเน้นภัยประเภทอัคคีภัยเนื่องจากมีความถี่ของการเกิดเหตุสูงสุด แต่ในขณะนี้ต้องเพิ่มเรื่องสารเคมีรั่วไหลและแผ่นดินไหวด้วย
“สิ่งที่ต้องปรับปรุงในขณะนี้คือเรื่องของข้อมูล เนื่องจาก กทม. ไม่สามารถตรวจจับข้อมูล (Detect) แผ่นดินไหวเองได้ ต้องอาศัยข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งการหนีภัยพวกนี้จะไม่เหมือนภัยจากไฟไหม้ ต้องมีการฝึกซ้อม แต่ภาพรวมไม่น่าเป็นห่วง” ชัชชาติกล่าว
ในส่วนของข้อกังวลเกี่ยวกับอาคารสูง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นในนั้น ชัชชาติกล่าวว่า อาคารสูงมีการออกแบบตามมาตรฐานอยู่แล้ว มีการคำนวณโดยวิศวกร เชื่อว่าไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องกังวล เช่นเดียวกับพื้นที่ตั้งของอาคาร ซึ่งเป็นเรื่องของฐานรากและไม่น่าเป็นห่วง แต่ที่น่าเป็นห่วงคืออาคารลักลอบก่อสร้างและไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งวิศณุกล่าวย้ำว่า อาคารที่ออกแบบในปัจจุบันนี้มีมาตรฐานสูงขึ้น มีการออกแบบเพื่อรับแรงลมอยู่แล้วจึงไม่น่ากังวลแต่อย่างใด
ชัชชาติกล่าวทิ้งท้ายว่า อาคารทั่วไปสามารถรับแผ่นดินไหวได้ระดับหนึ่งแล้ว การก่อสร้างไม่ได้ต้องการเฉพาะความแข็งแรง แต่ต้องการเรื่องของความเหนียวด้วย การใส่เหล็กหลอก การมีเสาให้เป็นไปตามมาตรฐาน หากการก่อสร้างได้มาตรฐาน บ้านเรือน 2 ชั้นก็สามารถรับแรงได้ระดับหนึ่งอยู่แล้ว ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ต้องมีการใช้งานได้หลังเหตุแผ่นดินไหวจะเข้มข้นในเรื่องของการออกแบบอยู่แล้ว เช่น สถานที่สาธารณะ โรงพยาบาล สถานีดับเพลิง ซึ่งหลังแผ่นดินไหวต้องใช้งานได้ ความสำคัญของโครงสร้างจะมีผลต่อความเข้มข้นของการออกแบบด้วย