วันนี้ (17 กันยายน) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประชุมร่วมกับ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และกรมชลประทาน เพื่อเตรียมการป้องกันและลดผลกระทบน้ำท่วม โดยเริ่มประชุมกันที่โรงเรียนกุศลศึกษา วัดชัยพฤกษมาลาฯ เขตตลิ่งชัน
ระหว่างการประชุม รศ.ดร.เสรี ได้เสนอแผนระยะสั้นอยากให้จัดตั้งศูนย์บริการน้ำส่วนหน้าเขต โดยมีผู้อำนวยการเขตเป็นหัวหน้าศูนย์ เพื่อประสานคนในท้องถิ่นได้อย่างใกล้ชิด และให้ผู้อำนวยการเขตติดตามสถานการณ์ฝน น้ำ เพื่อประเมินความพร้อม และให้ผู้ว่าฯ กทม. บัญชาการติดตาม ตรวจสอบ ให้เป็นไปตามข้อสั่งการ และชี้แจงกับประชาชน และประสานหน่วยงานภายนอกเพื่อช่วยลดผลกระทบ
ส่วนแผนระยะกลางและระยะยาว ได้เสนอให้ผู้อำนวยการเขต หน่วยงาน และภาคประชาชน หาพื้นที่หน่วงน้ำ พื้นที่สีเขียว ถังเก็บน้ำ และการระบายน้ำในพื้นที่ และประเมินการใช้พื้นที่เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน และให้ผู้ว่าฯ กทม. บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ
โดย รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า จากการคาดการณ์สถานการณ์ในช่วงหลังจากนี้ ฝนจะตกมากขึ้น ส่งผลทำให้สถานการณ์น้ำท่วมนั้นจะหนักมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปริมาณฝนจะเพิ่มขึ้น ทำให้หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงในพื้นที่ภาคใต้จะเจอน้ำท่วมนานกว่าทุกที่
ส่วนวันที่ 17-22 กันยายน ที่กรมอุตุฯ คาดการณ์นั้น มองว่าผู้อำนวยการเขตก็จะต้องเตรียมความพร้อมด้วย
ทั้งนี้ รศ.ดร.เสรี ยังมองอีกว่า กรณีที่เกิดเหตุการณ์ฝนตกทั่ว กทม. ผู้ว่าฯ กทม. ไม่จำเป็นต้องตระเวนไปทุกพื้นที่ โดยให้เป็นศูนย์กลางในการสั่งการ และผู้อำนวยการเขตดำเนินการ แต่อาจจะไปในเขตที่มีข้อจำกัดในการจัดการได้
นอกจากนั้น รศ.ดร.เสรี ยังชื่นชมชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กทม. ว่ามีแผนที่ชัดเจน และเห็นถึงความตั้งใจ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนเกิดความสบายใจมากขึ้น แต่อนาคตข้างหน้าเป็นเรื่องไม่แน่นอน ซึ่งทางชัชชาติได้รับปากจะวางรากฐานไว้ให้ดีที่สุด
ขณะที่ชัชชาติกล่าวว่า สภาพภูมิอากาศนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ในครึ่งเดือนแรกของกันยายน พื้นที่กรุงเทพฯ มีฝนเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 ดังนั้นต้องไปปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ขณะเดียวกัน ไม่ได้กังวลกับน้ำเหนือ แต่ห่วงปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีค่อนข้างมาก ดังนั้นการระบายน้ำเฉพาะจุดในระยะสั้นๆ ต้องเร่งทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ชัชชาติกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมากรุงเทพฯ ผันน้ำแค่ภายในพื้นที่กรุงเทพฯ เอง แต่ในอนาคตต้องผันน้ำให้ผ่านจังหวัดอื่นด้วย โดยให้กรมชลประทานเป็นตัวกลาง เพราะเห็นภาพรวมมากกว่า และเพื่อให้เกิดความสมดุลในการระบายน้ำ และผู้ว่าราชการจังหวัดต้องแสดงความร่วมมือ โดยหลังจากนี้ กทม. จะเป็นเจ้าภาพในการหารือร่วมกับพื้นที่ปริมณฑล
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ลาดกระบังเริ่มดีขึ้น ระดับน้ำลดลงเท่ากับระดับควบคุม เหลือเพียงพื้นที่ย่อยๆ ในชุนชนที่เป็นปัญหา จะต้องไปดูแล เพราะมีน้ำเข้าไปค้างและออกไม่ได้ โดยจะต้องเอาเครื่องสูบน้ำเข้าไปสูบน้ำออกจากพื้นที่
ทั้งนี้ ชัชชาติยังได้ชี้แจงถึงกรณีที่ตนเองต้องลงพื้นที่บ่อยๆ ว่า ก่อนจะลงพื้นที่ทุกครั้งก็จะไปติดตามสถานการณ์ที่ศูนย์สั่งการก่อน และเมื่อสั่งการแล้วจึงลงพื้นที่ไปให้กำลังใจหน้างาน และไปให้เห็นปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะอุปกรณ์และทรัพยากรของ กทม.
ด้าน ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา บอกเพิ่มเติมว่า 4 เขื่อนหลักลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยายังสามารถรับน้ำได้อีก 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร แตกต่างกับปี 2554 ที่ในช่วงนั้นเหลือเพียง 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ตอนนี้ยังสามารถกักเก็บน้ำได้เยอะ
ส่วนปริมาณฝนในปีนี้ ถ้าเทียบกับปี 2554 ยังแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และปีนี้ยังไม่มีพายุเข้ามาที่ประเทศไทย แต่ยังต้องเฝ้าระวังในอีก 1 เดือนหลังจากนี้ว่าจะมีพายุเพิ่มหรือไม่ รวมถึงดูน้ำเหนือที่จะมาเติมด้วย
นอกจากนี้กรมชลประทานยังได้ร่วมระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพฯ ในหลายพื้นที่ เช่น ลาดกระบัง มีนบุรี หนองจอก ได้ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำลงสู่คลองใหญ่และคลองย่อย ซึ่งหลังติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำแล้วก็ช่วยทำให้ระดับน้ำที่ลาดกระบังลดลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงบริเวณสถานีสูบน้ำท่าถั่ว ทำให้น้ำในพื้นที่เขตประเวศและใกล้เคียงลดลง หากช่วง 3-4 วันนี้ฝนไม่ตกมาเติม จะสามารถพร่องน้ำได้
นอกจากนั้นกรมชลประทานยังต้องติดตามเฝ้าระวังพื้นที่ที่อยู่ท้ายเขื่อนอย่างใกล้ชิด โดยจะไปวิเคราะห์สถานการณ์และการระบายน้ำไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน พร้อมยืนยันว่ากรมชลประทานมีการประสานงานกับ กทม. และพื้นที่รอยต่อปริมณฑลอย่างต่อเนื่อง