วันนี้ (19 กันยายน) ที่กระทรวงมหาดไทย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร (กทม.) เข้าพบ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ชัชชาติกล่าวภายหลังร่วมหารือและรับประทานอาหารร่วมกันว่า วันนี้ถือว่ามาแสดงความยินดีอย่างเป็นทางการ และเป็นการพูดคุยต่อเนื่องจากที่หารือกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนากรุงเทพมหานคร โดยในคณะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นคณะทำงานด้วย
กทม. กับกระทรวงมหาดไทยมีเรื่องที่จะต้องประสานงานกัน และสัปดาห์หน้าจะมาพูดคุยในรายละเอียดอีกครั้ง เช่น เรื่องสายสื่อสารลงดิน การเปลี่ยนหลอดไฟฟ้าแอลอีดีทั้งกรุงเทพฯ ให้ประหยัดพลังงาน เพื่อให้เกิดการลดค่าไฟ หากเปลี่ยนได้จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ด้วย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่ กทม. จะต้องร่วมมือกัน
เมื่อถามว่าการทำงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยุคนี้ดีกว่ายุคที่ผ่านมาหรือไม่ ชัชชาติระบุว่า ก็ดีทุกยุค แต่ยุคนี้เราเป็นเพื่อนกัน รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ก็ทำงานร่วมได้ แล้วท่านตัดสินใจไว และคิดว่าน่าจะเป็นการร่วมมือที่ดี ส่วนเรื่องรถไฟฟ้ามองว่าทุกอย่างมีทางออก และรองนายกฯ เองมีข้อมูลละเอียด สัปดาห์หน้าจะมาหารือกันอีกครั้ง
ด้านอนุทินกล่าวว่า เรื่องรถไฟฟ้าต้องทำตามกฎหมายทุกอย่าง ถ้ามาบรรจบกันก็แก้ไขปัญหาได้ เป็นไปตามกฎหมายและมีความชอบธรรม และเรื่องนี้เป็นปัญหา ไม่ได้มาจากมาตรา 44 เพราะมาตรา 44 สั่งให้ไปทำอย่างไร้รอยต่อ แต่ปัญหามันมีทั้งระบบ ก็ต้องมาหารือกัน และได้นัดหมายกับชัชชาติว่าจะเร่งสะสางปัญหาโดยเร็ว ซึ่งทุกอย่างจะต้องทำตามกฎหมายและทำตามระเบียบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับชาว กทม.
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้มีความยากเรื่องที่มาที่ไป และต้องใช้ข้อมูลทุกอย่างที่มีอยู่ โดยจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาไม่ใช่เพิ่มปัญหา โดยจะต้องหารือในรายละเอียดทั้งหมดก่อนว่าทำไมเป็นปัญหายาวนานมาจนถึงขณะนี้ และปัญหาที่แท้จริงคืออะไร
เมื่อถามว่ายังยืนยันจะต่อสัมปทานหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ทางที่ดีที่สุดจะต้องทำตามสัญญาที่มีอยู่ เพียงแค่เรื่องนี้เกิดขึ้นมาก่อนที่ตนมาอยู่กระทรวงมหาดไทย และก่อนที่ชัชชาติจะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.
อนุทินกล่าวยืนยันเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาอะไรที่ไปทำให้ล่าช้า เพราะผู้ประกอบการมีความเสียสละในการแบกภาระ แต่ต้องไปดูว่าทำไมปล่อยให้หนี้พอกพูนขนาดนี้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญกับ กทม. กระทรวงมหาดไทย และประชาชน จึงต้องหาวิธีแก้ไขปัญหา
