บมจ.ตาชำนิ หรือ CEYE เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 29 เมษายนนี้ ด้วยราคา IPO หุ้นละ 3.86 บาท โดยเงินระดมทุนกว่า 255 ล้านบาท จะใช้สำหรับต่อยอดธุรกิจ ด้วยการสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่และลงทุนในอุปกรณ์ด้านการผลิต
คร่ำหวอดในธุรกิจครีเอทีฟโฆษณากว่า 30 ปี
บมจ.ตาชำนิ หรือ CEYE จดทะเบียนจัดตั้งขึ้น ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2535 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้นจำนวน 500,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
กลุ่มผู้ก่อตั้งหลัก คือ ชำนิ ทิพย์มณี และ สุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตภาพนิ่งสำหรับสื่อโฆษณาเป็นหลัก
CEYE มีบริษัทย่อย 1 แห่ง คือ บจก.ไม้ยืนต้น ดำเนินธุรกิจบริการสตูดิโอโรงถ่ายภาพยนตร์ โฆษณา และรายการโทรทัศน์ ปัจจุบันมีสตูดิโอให้บริการทั้งหมด 5 อาคาร กลุ่มลูกค้าหลักของไม้ยืนต้น ได้แก่ บริษัทผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ในประเทศไทย โดยมีทั้งประเภทสัญญาเช่าเหมารายเดือนและการเช่ารายครั้ง
ปัจจุบัน CEYE มีกลุ่มลูกค้า 2 ประเภท ได้แก่
- ลูกค้าเอเจนซีโฆษณา (Advertising Agency) โดยเอเจนซีโฆษณาเป็นผู้ทำหน้าที่ตัวกลางระหว่างบริษัทกับเจ้าของผลิตภัณฑ์
- ลูกค้ากลุ่มเจ้าของผลิตภัณฑ์ เป็นลูกค้าซึ่งติดต่อมาทางบริษัทโดยตรง โดย CEYE มีบริการคิดสร้างสรรค์งานด้วย พร้อมให้บริการผลิตสื่อโฆษณาตามรูปแบบที่วางไว้
กลุ่มสุวรรณแสงโรจน์ และ ชำนิ ทิพย์มณี กุมหุ้นใหญ่ 68.73%
ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในครั้งนี้ CEYE จะมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ดังนี้
- กลุ่มครอบครัวสุวรรณแสงโรจน์ 45.96%
- ชำนิ ทิพย์มณี 22.77%
- ณัฐนันท์ กีรติกรยศนันท์ 1.85%
- พิม วรรณประภา 0.56%
- บริษัท หับโห้หิ้น บางกอก จำกัด 0.55%
ผู้ถือหุ้นใหญ่เตรียมโอนหุ้นภายในกลุ่มในวันเทรดวันแรก
สุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ (ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท) ได้แจ้งให้บริษัททราบว่าประสงค์ที่จะโอนหุ้นสามัญเดิมที่ตนถืออยู่ จำนวน 22,356,230 หุ้น คิดเป็น 8.28% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ (จากที่ถือหุ้นอยู่ทั้งหมด 90,101,330 หุ้น หรือ 33.37%) เพื่อเป็นมรดกให้แก่ ปัณดา ปุณโณทก บุตรสาวที่บรรลุนิติภาวะแล้วของตน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยการโอนหุ้นมรดกครั้งนี้จะเกิดขึ้นในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai หรือวันที่ 29 เมษายนนี้
การโอนหุ้นดังกล่าวไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงกรรมการและผู้บริหารตามที่เปิดเผยมาในหนังสือชี้ชวน และผู้โอน/รับหุ้นมรดกในครั้งนี้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์การรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หุ้นสามัญเดิมของสุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ จำนวน 22,356,230 หุ้นที่นำมาโอนหุ้นมรดกในครั้งนี้ เป็นส่วนที่ไม่ได้ติดเกณฑ์ Silent Period
ราคา IPO หุ้นละ 3.86 บาท คิดเป็นค่า PE 36.64 เท่า
CEYE กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 3.86 บาท จากมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยได้เปิดให้จองซื้อในวันที่ 20-22 เมษายน 2565 และได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในหมวดธุรกิจบริการ (Service)
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทในครั้งนี้ พิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Price to Earnings Ratio: P/E) คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิเท่ากับ 36.64 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 28.45 ล้านบาท และคำนวณจากจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังเสนอขายต่อประชาชนในครั้งนี้จำนวน 270,000,000 หุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นประมาณ 0.105 บาทต่อหุ้น
เงินระดมทุน 255 ล้านบาท เน้นต่อยอดธุรกิจ
CEYE ระบุในไฟลิ่งว่า บริษัทมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนครั้งนี้ประมาณ 255.25 ล้านบาท (ภายหลังหักค่าใช้จ่ายการเสนอขาย) ไปใช้ดังนี้
- ลงทุนในโครงการในอนาคต 60 ล้านบาท แบ่งเป็นก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ 45 ล้านบาท และลงทุนในส่วนอุปกรณ์การผลิต 15 ล้านบาท
- ชำระคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงิน 25 ล้านบาท
- เงินทุนที่ใช้หมุนเวียนในกิจการ 170.25 ล้านบาท
นอกจากนี้ CEYE ยังมีโครงการในอนาคตในการมองหาความร่วมมือเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำมากขึ้น เพื่อเป็นห่วงโซ่หนึ่งของอุตสาหกรรมโฆษณาในประเทศไทยที่มีมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท และคาดว่าอุตสาหกรรมโฆษณาจะมีการเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา
วางเป้ารายได้ปี 2565 ฟื้นเท่าปี 2562
สุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ CEYE คาดว่า รายได้ปี 2565 จะกลับมาอยู่ใกล้เคียงกับรายได้ในปี 2562 ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงก่อนมีแพร่ระบาดของโควิด โดยปีนี้เชื่อว่าตลาดครีเอทีฟโฆษณาจะฟื้นตัวขึ้นจากการที่ภาคธุรกิจต่างๆ จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์ด้านอุปโภคบริโภค รถยนต์ไฟฟ้า และอื่นๆ นอกจากนี้ CEYE ยังมองหาการขยายไปยังโอกาสใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรมข้างเคียง เช่น กลุ่มเอ็นเตอร์เทนเมนต์ แพลตฟอร์มสตรีมมิง ภาพยนตร์ ซีรีส์ เป็นต้น
รายได้กำไรปี 2564 เริ่มฟื้นตัวหลังโควิดคลี่คลาย
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานปี 2562-2564 CEYE มีรายได้จากการให้บริการ 309.99 ล้านบาท, 230.29 ล้านบาท และ 266.24 ล้านบาทตามลำดับ โดยในปี 2563 รายได้จากให้บริการลดลง 25.71% เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด และมาตรการการจำกัดการรวมตัวกัน ทำให้ลูกค้าชะลอการผลิตสื่อโฆษณา และลดปริมาณการจัดทำสื่อโฆษณา อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 CEYE มีรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.61% เนื่องจากเป็นการโตจากฐานที่ต่ำ
ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2562-2564 เท่ากับ 27.83%, 20.61% และ 22.90% ตามลำดับ โดยในปี 2563 ที่รับผลกระทบจากโควิด CEYE มีกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ไม่สูง เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีงบประมาณสำหรับผลิตสื่อโฆษณาที่จำกัด รวมถึงการที่บริษัทพิจารณารับงานทุกประเภทเพื่อที่จะยังคงมีการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการรับงานเพิ่มเติมในอนาคตอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดการเสนอราคาการให้บริการตามอัตราปกติและในอัตราที่ปรับลดลง
CEYE มีกำไรสุทธิในปี 2562-2564 เท่ากับ 38.57 ล้านบาท, 14.09 ล้านบาท และ 28.45 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็น 12.37%, 6.07% และ 10.43% ของรายได้รวมตามลำดับ โดยปี 2563 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 14.09 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 6.07% ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากรายได้จากการให้บริการลดลง และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำลงจากผลกระทบของโควิด ทำให้กลุ่มลูกค้ามีงบประมาณสำหรับผลิตสื่อโฆษณาที่ลดลง จึงทำให้ไม่สามารถเสนอราคาการให้บริการได้ตามอัตราปกติ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 28.45 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 10.43% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 101.89% เนื่องจากสถานการณ์โควิดมีแนวโน้มดีขึ้น
‘ตาชำนิ’ หรือ CEYE ซึ่งเป็นหุ้นสายครีเอทีฟโฆษณาตัวแรกของตลาดหุ้นไทย จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก 29 เมษายนนี้ โดย CEYE จะนำเงินระดมทุนราว 255 ล้านบาท ไปลงทุนต่อยอดธุรกิจ เช่น สร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ และลงทุนอุปกรณ์ด้านการผลิต เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้
ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP