สมรภูมิค้าปลีกใจกลางกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่าน CBD ถือเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันเข้มข้นที่สุดแห่งหนึ่ง การเกิดขึ้นของศูนย์การค้าแห่งใหม่ ท่ามกลางคู่แข่งที่แข็งแกร่งและยึดหัวหาดอยู่เดิม ย่อมถูกจับตามองด้วยความท้าทาย
แต่การมาถึงของ ‘Central Park’ กลับสร้างปรากฏการณ์ที่พลิกความคาดหมายของหลายฝ่าย กลายเป็นกระแสไวรัลบนโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว และสร้างจุดเช็คอินใหม่ที่ผู้คนต้องเดินทางมาสัมผัส ไม่ใช่แค่เพราะความใหม่ แต่เป็นเพราะแนวคิดและการออกแบบที่นำเสนอสิ่งที่แตกต่างออกไป
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนผ่านตัวเลขที่ชัดเจน จำนวนผู้ใช้บริการรายวัน (Traffic) สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 60% และยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ที่น่าสนใจคือ ยอดผู้ใช้บริการวันหยุดเสาร์-อาทิตย์กลับพุ่งสูงกว่าวันธรรมดาถึง 30%
ข้อมูลนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากสำหรับโลเคชันใจกลางย่านธุรกิจ และยังหักล้างความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า โลเคชันย่านออฟฟิศและสถานศึกษา จะคึกคักเฉพาะวันธรรมดา แต่ Central Park กลับดึงดูดผู้คนในวันหยุดได้สำเร็จอย่างล้นหลาม
ตีความ ‘ทำเล’ ใหม่ กลยุทธ์เชื่อม 4 ย่านเศรษฐกิจ
ในเชิงธุรกิจ ‘โลเคชัน’ คือหัวใจสำคัญที่เป็นจุดตัดชี้เป็นชี้ตายของธุรกิจศูนย์การค้า แต่ในขณะเดียวกัน ทำเลดีก็ไม่เคยการันตีว่าจะสำเร็จเสมอไป
บทเรียนนี้คือสิ่งที่ Central Park นำมาตีโจทย์ จึงไม่ได้มองทำเลที่ตั้งเป็นแค่จุดแข็งที่มีไว้เพื่อได้เปรียบ แต่ใช้เป็น จุดเริ่มต้นของกลยุทธ์ทั้งหมด โดยตีความศักยภาพของทำเลหัวมุมถนนสีลมและพระราม 4 ใหม่ จากแค่ CBD สู่การเป็น Super Core CBD ที่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงสูง

นี่คือจุดตัดที่รวมเมืองเก่าและเมืองใหม่เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน เป็นจุดบรรจบของ 4 ย่านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมหลักของกรุงเทพฯ ได้แก่ ย่าน CBD ดั้งเดิม (สีลม-สาทร), ย่าน New CBD และสถานทูต (สุขุมวิท-เพลินจิต), ย่าน Creative District (เจริญกรุง-ริมน้ำ) และย่าน Cultural Core (เยาวราช)
การวิเคราะห์นี้เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายจากเดิมที่อาจจำกัดอยู่แค่พนักงานออฟฟิศและนักเรียนในย่าน ให้กลายเป็นการดึงดูดผู้คนจาก 4 โซนหลักที่มีไลฟ์สไตล์และกำลังซื้อแตกต่างกันให้ไหลมารวมกันที่จุดเดียว
ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์ ผ่านการเชื่อมต่อโดยตรงทั้ง BTS, MRT และ Skywalk ทำให้การเดินทางสะดวกสบายไร้รอยต่อ รองรับกลุ่มผู้สัญจร (Commuter) มากกว่า 70,000 คนต่อวัน หรือกว่า 25 ล้านคนต่อปี ตัวเลขนี้คือฐานลูกค้ามหาศาลที่ถูกส่งตรงถึงหน้าประตูของ Central Park
กลยุทธ์ Curation ที่เข้าใจอินไซต์ ‘เรื่องกินเรื่องใหญ่’
เมื่อมีทราฟฟิกคุณภาพไหลเข้ามา กลยุทธ์ถัดมาคือการสร้างประสบการณ์เพื่อดึงดูดและสร้างการกลับมาซ้ำ ซึ่ง Central Park ทำได้ดี สะท้อนจากยอดขายร้านค้าและ Pop-Up Store ที่เติบโตเกินเป้ากว่า 30% และยังสร้างปรากฏการณ์ยอดขายแตะระดับ New High ในหลายกลุ่มธุรกิจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘เรื่องกินถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนไทย’ และ Central Park เข้าใจอินไซต์นี้เป็นอย่างดี จึงวางกลยุทธ์ยกระดับเป็น ‘Culinary Landmark’ แห่งใหม่ โดยจัดสรรพื้นที่ส่วนใหญ่จากร้านค้ากว่า 550 แบรนด์ ให้กับประสบการณ์ด้านอาหารที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่ง

หัวหอกสำคัญคือการคัดสรร (Curation) ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เริ่มตั้งแต่การดึงร้านดังที่มาเปิด First-time in Thailand อย่าง คิวามิยะ สเต็กวากิวจากญี่ปุ่น หรือ Super Matcha ชาเขียวพรีเมียมจากเกาหลี เพื่อสร้างกระแสให้คนต้องมาลอง
เสริมทัพด้วยร้านดังคิวยาวที่ทุกคนคุ้นเคย เช่น HIKINIKU TO COME, Katsu Midori, KATSUKURA และอีกมากมาย รวมถึงร้านดังที่มาในคอนเซปต์ใหม่ (New Concept) และการผนึกกำลังกับแบรนด์อาหารดังที่มาแบบยกกลุ่ม เช่น เครือไอเบอรี่กรุ๊ป ที่ขนร้านในเครือมาตอบโจทย์หลากหลาย
จุดเด่นที่สร้างความแตกต่างชัดเจน คือการรวบรวม Michelin Guide และสตรีทฟู้ดชื่อดังกว่า 70 ร้าน ที่มีเมนูรวมกันกว่า 1,000 เมนู ถือว่ามากที่สุดในกรุงเทพฯ ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายที่ตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะมองหามื้อด่วนหรือมื้อพิเศษ
นอกจากนี้ ยังเติมเต็มไลฟ์สไตล์คนตื่นเช้าด้วย ‘Morning Zone’ ที่เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 06.30 น. นำโดย Starbucks และพาเหรดร้านดังที่พร้อมเปิดต้อนรับตอน 8.00 น. อีกเพียบ ทั้งกลุ่ม Coffee & Pastry อย่าง % Arabica, Beans, ONO!, White Story และ CHAGEE
รวมถึงโซน Parkside Market ที่รวมสตรีทฟู้ดระดับตำนานอย่าง ขาหมูโบราณกะทู้ ภูเก็ต, ข้าวมันไก่โกยี, นายอ้วนเย็นตาโฟบะเต็งเสาชิงช้า และ อองตอง ข้าวซอย ให้ชาวออฟฟิศได้ฝากท้องมื้อเช้า พร้อมด้วย Tops Food Hall และ Take Home Zone ที่ตอบโจทย์ชีวิตที่เร่งรีบได้อย่างครบวงจร
นอกเหนือจากสมรภูมิด้านอาหาร Central Park ยังสร้างสมดุลด้วยการคัดสรรแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ดังจากทั่วโลก ทั้งกลุ่ม High-Street & Bridge-Line Brands และ Sport Destination ที่ครบครัน
มีการนำเสนอแบรนด์ที่เปิดครั้งแรกในเมืองไทย เช่น VIVAIA, ICEBREAKER พร้อมแบรนด์แม่เหล็กอย่าง Marimekko, POP MART, adidas Originals, Onitsuka Tiger และอีกมากมาย เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง (High-Spending Power) ที่มองหาความพิเศษและประสบการณ์ที่แตกต่าง

‘ดีไซน์และพื้นที่สีเขียว’ กลยุทธ์สร้าง ‘Experience’
โจทย์ที่ท้าทายที่สุดของโลเคชัน CBD คือ ทำอย่างไรให้คนอยากมาในวันหยุด? Central Park ตอบโจทย์นี้ด้วยการไม่วางตัวเองเป็นแค่ศูนย์การค้า แต่เป็น ‘ศูนย์กลางการใช้ชีวิต’
กลยุทธ์ที่พลิกเกมคือการนำเสนอ ‘พื้นที่สีเขียว’ ให้กลายเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการ ไฮไลท์คือสวนลอยฟ้า ‘Roof Park’ ขนาดใหญ่ถึง 7 ไร่ ที่เชื่อมโยงชีวิตคนเมืองเข้ากับธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นส่วนต่อขยายของสวนลุมพินี สร้างสมดุลให้วิถีชีวิตคนเมืองที่โหยหาการพักผ่อน
พื้นที่นี้สร้างกิจกรรมให้เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่วิ่งตอนเช้า จิบกาแฟยามสาย พักผ่อนยามบ่าย จนถึงชมวิวเมืองยามค่ำ นี่คือการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ผู้คนใช้เวลาในพื้นที่นานขึ้น (ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกศูนย์การค้าล้วนอยากได้) และเปลี่ยนภาพจำของย่านที่เคยเร่งรีบ ให้กลายเป็นสถานที่แห่งการพักผ่อน
นอกเหนือจากพื้นที่สีเขียว งานดีไซน์ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญ การออกแบบที่ยังคง ‘Legacy’ ไว้ผ่าน Façade ที่สะท้อน Heritage ด้วยดีไซน์โค้งและคลื่น พร้อมการใช้โทนสี ‘3 กษัตริย์’ (เงิน ทอง คอปเปอร์) สร้างความรู้สึกหรูหราและทันสมัยไปในตัว
จุดที่กลายเป็นกลยุทธ์ดึงดูดคนอย่างชัดเจน คือสถาปัตยกรรมภายใน โดยเฉพาะโถงบันไดเลื่อนที่ออกแบบโดยใช้ ‘เส้นสายเรขาคณิต’ ที่ตัดสลับกันไปมา สร้างมิติและมุมมองที่แปลกตา ซึ่งแตกต่างจากภาพจำของศูนย์การค้าทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
จุดนี้จึงกลายเป็น Photo Spot ยอดนิยม ที่ใครผ่านไปมาต้องมาถ่ายภาพและแชร์ต่อบนโซเชียลมีเดีย สร้างการรับรู้แบบ Organic Marketing ได้ดีในวันที่ผู้คนไถฟีดโซเชียลแต่พอผ่านตา และจะหยุดมือก็ต่อเมื่อเจอคอนเทนต์ที่สนใจจริงๆ
ความสำเร็จของ Central Park จึงสะท้อนการ ‘วางหมาก’ ที่แม่นยำในทุกมิติ ตั้งแต่การตีโจทย์ทำเลที่ตั้งให้เป็นจุดเชื่อมต่อของมหานคร
การคัดสรรประสบการณ์ที่เข้าใจอินไซต์คนเมือง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ของคนไทย ควบคู่ไปกับการใช้ดีไซน์ที่ต้องได้ภาพกลับไปเมื่อมาเยือน และพื้นที่สีเขียวเพื่อหาความสงบในมหานครอันวุ่นวาย เป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างประสบการณ์และดึงดูดผู้คน
นี่คือโมเดลการสร้างแลนด์มาร์กยุคใหม่ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า คนเมืองยุคใหม่ไม่ได้มองหาแค่สถานที่แต่กำลังมองหา ‘พื้นที่ที่เข้าใจชีวิต’ และ Central Park ก็สามารถตอบโจทย์นั้นได้อย่างชัดเจน


