วานนี้ (21 กรกฎาคม) ปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดพิษณุโลก พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีการกำหนดนโยบายการต่างประเทศโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีต่อสถานการณ์ในเมียนมา พร้อมกล่าวหาว่าเป็นการทำให้สถานะการต่างประเทศของไทยตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์
ปดิพัทธ์ระบุว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ปล่อยปละละเลยให้สถานการณ์ในฝั่งประเทศเมียนมาส่งผลกระทบมาถึงคนไทย ไม่ว่าจะเป็นกรณี ‘น้องปลื้ม’ ปัณณทัต ขจรศักดิ์อุดม ถูกกระสุนปืน M16 ยิงจากฝั่งแม่น้ำเมยเสียชีวิต เมื่อเช้าวันที่ 28 มิถุนายน 2563 โดยรัฐบาลมิได้ติดตามอำนวยความยุติธรรมให้ ตามมาด้วยกรณีวันที่ 30 มิถุนายน 2565 เมื่อเครื่องบินรบของพม่า MIG-29 บินเข้ามาในน่านฟ้าไทย ในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลวาเล่ย์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ทำการยิงใส่กองกำลังต่อต้านรัฐบาลจากน่านฟ้าไทย ซึ่งรัฐบาลระบุว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และเป็นเพียงกรณีเพื่อนบ้านเดินลัดสนามหญ้าบ้านเราเท่านั้น
ปดิพัทธ์ยังระบุว่า จากเหตุการณ์ทั้งสองนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ารัฐบาลประยุทธ์รู้เห็นเป็นใจกับรัฐบาล มิน อ่อง หล่าย อำนวยความสะดวกให้แก่กองทัพเมียนมาปราบปรามกองกำลังต่อต้านรัฐบาล และเมื่อมองไปถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่มีต่อผู้ลี้ภัยแล้วก็ยิ่งเป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลประยุทธ์มีแนวทางที่ชัดเจนในการผลักดันผู้ลี้ภัยไม่ให้ข้ามมาฝั่งไทย และยังสกัดกั้นการส่งความช่วยเหลือที่จำเป็นโดยองค์กรระหว่างประเทศ เป็นการสนับสนุนการปราบปรามประชาชนโดยรัฐบาลเมียนมาในทางอ้อม
เมื่อดูจากท่าทีการแสดงออกของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ก็ยิ่งเป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลประยุทธ์มีจุดยืนเลือกข้างเผด็จการเมียนมาตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่การเอ่ยปากสนับสนุนของนายกรัฐมนตรีตอบจดหมายจากมิน อ่อง หล่าย, การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลทหารเมียนมามาเยือนประเทศไทยหลังรัฐประหาร, การส่งเสบียงให้แก่กองทัพเมียนมา, การปฏิเสธผู้ลี้ภัย, และการงดออกเสียงในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในมติการคว่ำบาตรการขายอาวุธให้กับพม่า
นอกจากนี้ยังมีกรณีการแต่งตั้งบุคคลที่มีเรื่องอื้อฉาว นั่นคือ พรพิมล กาญจนลักษณ์ หรือ พอลลีน ให้มาเป็นผู้แทนพิเศษด้านเมียนมา โดยพรพิมลเคยเป็นอดีตล็อบบี้ยิสต์ที่เคยบริจาคเงินอย่างผิดกฎหมายให้แก่พรรคเดโมแครตสหรัฐอเมริกา ให้นำเจ้าสัวคนไทยตระกูลใหญ่คนหนึ่งเข้าพบประธานาธิบดีบิล คลินตัน เพื่อล็อบบี้นโยบายด้านการค้าให้แก่รัฐบาลจีน พรพิมลยังเคยถูกศาลในสหรัฐอเมริกาตัดสินลงโทษในคดีนี้ ให้ต้องโทษรอลงอาญา 3 ปี และให้คุมขังในเคหสถาน 6 เดือน พร้อมติดกำไลติดตามตัว
พรพิมลหลังจากรับตำแหน่งก็ได้แสดงบทบาทในเวทีการประชุมนานาชาติด้านความมั่นคง ‘แชงกรี-ลา ไดอะล็อก’ ปกป้องรัฐบาลเผด็จการเมียนมาสวนทางกับทุกประเทศในเวทีโลก ในฐานะจุดยืนของประเทศไทยต่อประชาคมโลก นำมาสู่คำถามว่าพรพิมลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการล็อบบี้ ได้รับการแต่งตั้งเพื่อมารับงานพิเศษด้านใดให้กับใครหรือไม่
ปดิพัทธ์ยังอภิปรายต่อไปว่า นโยบายต่างประเทศของไทยต่อกรณีเมียนมา ถือเป็นจุดยืนที่แทงไปข้างเดียวคือข้างเผด็จการทหาร ไม่มีนโยบายหรือยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศ จนนำมาสู่ทศวรรษแห่งความสูญเปล่าทางการต่างประเทศของไทย
ปดิพัทธ์ย้ำว่า ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเลือกข้างใครอย่างชัดเจน แต่ต้องสร้างสมดุลในด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีวิกฤตการณ์รัฐประหารเมียนมา สามารถเป็นโอกาสให้ไทยมีบทบาทในการคลี่คลายสถานการณ์และแสวงหาสันติภาพ ยุติความขัดแย้งในเมียนมา จากความนับถือส่วนตัวระหว่างผู้นำสองประเทศ
มหาอำนาจล้วนอยากให้สงครามกลางเมืองในเมียนมายุติลง ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลของแหล่งพลังงานธรรมชาติ ความต้องการลงทุนอย่างต่อเนื่อง หรือเหตุผลด้านมนุษยธรรม ซึ่งประเทศไทยควรเล่นเกมอย่างชาญฉลาดกับมหาอำนาจทั้งหลาย มีภาวะผู้นำในการประสานแก้ไขปัญหา พบกับผู้นำของทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นมิน อ่อง หล่าย หรือกองทัพประชาชน และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
แต่รัฐบาลประยุทธ์กลับเลือกเดินหมากที่เสียเปล่าที่สุด คือการอุ้มชูมิน อ่อง หล่าย ตั้งแต่ต้น ทำให้ขาดอำนาจในการถ่วงดุลกับประเทศมหาอำนาจทุกประเทศ จนกลายเป็นประเทศที่ไม่มีใครอยากคบหาเหมือนเมียนมาไปโดยปริยาย
“การทำนโยบายต่างประเทศแบบไม่มีนโยบาย ตีมึนไม่รู้ไม่ชี้ คนไทยโดนลูกหลงตายก็ไม่เป็นไร เครื่องบินรบเมียนมาเข้ามายิงในน่านฟ้าไทยก็ไม่เป็นไร ถูกประชาคมโลกกดดันในท่าทีเรื่องเมียนมาก็ไม่เป็นไร เพราะนโยบายมีอย่างเดียว เพื่อนแท้เผด็จการฝาแฝด ประยุทธ์ มิน อ่อง หลาย จะต้องอยู่ต่อไป” ปดิพัทธ์กล่าว