วันนี้ (1 กันยายน) สุทิน คลังแสง ส.ส. จังหวัดมหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงภาพรวมการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันแรกว่า ฝ่ายค้านกำลังพยายามชี้ให้เห็นถึงคนที่อยู่เบื้องหลังและคนที่เชื่อมโยงผลประโยชน์ของวัคซีน Sinovac แต่กลับถูกห้ามอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอกจากประธานการประชุม ทำให้การอภิปรายมีข้อจำกัด อภิปรายไม่เต็มที่ ไม่สามารถเปิดข้อมูลได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงอยากให้มีการปรับข้อบังคับเพื่อให้อภิปรายได้เต็มที่ หรือให้สมาชิกฝ่ายค้านปรับวิธีการอภิปรายใหม่
ขณะเดียวกัน พอใจในการทำงานของฝ่ายค้าน แต่เมื่อวานนี้อาจจะยังไม่เข้มข้น ซึ่งจะเข้มข้นในวันนี้ไปจนถึงวันสุดท้าย และสิ่งที่รัฐบาลปกปิดข้อมูลผู้ติดเชื้อ ซึ่งพรรคฝ่ายค้านมองว่ามีข้อพิรุธ เนื่องจากมีการตรวจที่น้อยลง และการแจกชุด ATK ให้ประชาชนตรวจที่บ้าน และพบมีการติดเชื้อจำนวนมาก ซึ่งมองว่ามีผู้ติดเชื้อนอกระบบอีกจำนวนมาก ตัวเลขในระบบจึงน้อยลง เป็นการตกแต่งตัวเลขอำพรางสถานการณ์โควิด
สุทินกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังตอบคำถามแบบไม่ชัดเจน ยังยืนยันว่าทำงานได้ดี แก้ปัญหาได้ดี ฐานะการเงินการคลังยังดี เศรษฐกิจแข็งแรง กำลังฟื้นตัว ซึ่งทำให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่ยอมรับความจริง ขณะเดียวกัน ไม่มีการตอบคำถามเรื่องการซื้อขายวัคซีน Sinovac ที่รัฐบาลเคยบอกว่าซื้อแบบจีทูจี ไม่ต้องเสียภาษี แต่สิ่งที่ฝ่ายค้านอภิปรายมีการเปิดหลักฐานเรื่องการเสียภาษี ซึ่งจากข้อมูลที่ปรากฏทั้งหมด ใครเป็นคนโกหกกันแน่ รัฐบาลยังไม่ยอมรับและกลับมากล่าวหาฝ่ายค้านและคนวิจารณ์ด้อยค่า Sinovac จึงอยากถามว่าทำไมถึงผูกมิตรกับจีน ทำไมไม่ผูกมิตรกับวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ และยังไม่ใส่ใจในการชี้แจง โดยเฉพาะเรื่องส่วนต่างวัคซีนที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ 17 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส และต่อมา มีการจัดซื้อที่ลดลงจนถึง 8.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส แต่ ครม. ยังอนุมัติเงินเท่าเดิม ซึ่งการตอบคำถามยังไม่มีความชัดเจน ตอบเพียงว่าเงินที่เหลือก็เข้าคลังไป ซึ่งฝ่ายค้านจะขอหลักฐานการจ่ายเงิน จะตามใบเสร็จมาแสดงให้ได้ เพราะส่วนต่างเป็นเงินจำนวนมาก แต่มากเท่าไรก็ไม่พอกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น
ส่วนกรณีที่มีการตั้งคำถามว่าฝ่ายค้านใช้คำรุนแรงไปหรือไม่ สุทินกล่าวว่า เป็นการสะท้อนความรู้สึกที่สอดคล้องกับอารมณ์สังคมและระดับของปัญหาที่เกิดขึ้น
สุทินยังกล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะไม่ยุบสภาและไม่ปรับ ครม. ว่า การพูดลักษณะนี้สะท้อนถึงความดื้อ โอหัง คลั่งอำนาจ เพราะยังฟังไม่จบ ถือว่าปิดฉากการรับรู้ เป็นโรคแพ้ไม่เป็น ซึ่งจุดจบมี 2 ทาง คือ ถ้าไม่ออกก็จะมีคนทำให้ออกหรือเหมือนการฆ่าคนตาย เพราะถ้าไม่ฆ่าคนอื่น คนอื่นก็ไปฆ่าตัวเอง แต่สังหรณ์ใจว่าจะมีคนปลดมากกว่า
