รัฐบาลท้องถิ่นของแคว้นกาตาลุญญา นำโดยนายการ์เลส ปิกเดมองต์ (Carles Puigdamont) แถลงผลการลงประชามติและข้อเสนอการขอแยกตัวต่อรัฐสภาของแคว้นแล้วในช่วงเย็นของวันที่ 10 ต.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งนายการ์เลสระบุว่า ชาวคาตาลันหลายล้านคนมีสิทธิ์ที่จะมีประเทศเป็นของตัวเอง
โดยเขาจะยังคงเดินหน้าทำตามเสียงของประชาชนตามผลประชามติเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่เสนอ ‘เลื่อน’ การเดินหน้าประกาศเอกราช (แต่เพียงฝ่ายเดียว) ของแคว้นกาตาลุญญาไว้ก่อน และยินดีที่จะเจรจากับรัฐบาลกลางที่กรุงมาดริด ทั้งนี้เขายังให้เหตุผลอีกว่า การใช้ตัวกลางในการเจรจาอาจจะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ภายในสังคมสเปนได้
ก่อนหน้านี้รัฐบาลกาตาลุญญาเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ประชาชนผู้ไม่เห็นด้วยกับการประกาศขอแยกตัวเป็นสาธารณรัฐจากสเปนกว่า 7 แสนคน รวมตัวกันแสดงพลัง และยังเชื่อมั่นว่าสเปนจะยังคงก้าวต่อไป ภายใต้ความแตกต่างหลากหลายเหล่านี้ได้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเจรจากันด้วยเหตุผล
ทั้งนี้กลุ่มธนาคารและสถาบันทางการเงินต่างๆ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในบาร์เซโลนาต่างทยอยย้ายออกไปยังเมืองต่างๆ ของสเปน เพราะเกรงว่า หากกาตาลุญญาเดินหน้าประกาศเอกราชสำเร็จจริง ประเทศเกิดใหม่แห่งนี้อาจถูกถอดจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปและเขตเศรษฐกิจยูโรโซนในทันที โดยผู้แทนของประเทศมหาอำนาจในยุโรปอย่างเยอรมนีและฝรั่งเศสต่างออกมายืนยันว่า พวกเขาจะสนับสนุนความเป็นเอกภาพของสเปน พร้อมทั้งจะไม่ให้การรับรองกาตาลุญญาในฐานะประเทศเกิดใหม่ เนื่องจากผลประชามติที่เกิดขึ้นมิชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักความเป็นประชาธิปไตยสากล
เพราะถ้าหากนายการ์เลสยังคงเดินหน้าประกาศเอกราชแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่เปิดพื้นที่ให้แก่การเจรจา อาจจะทำให้รัฐบาลสเปนดำเนินมาตรการฉุกเฉินทิ้งไพ่ตายใบสุดท้าย ใช้อำนาจผ่านมาตรา 155 ในรัฐธรรมนูญ 1978 ที่มอบอำนาจให้แก่รัฐบาลกลางที่กรุงมาดริดสามารถสั่งปลดรัฐบาลท้องถิ่นของแคว้นกาตาลุญญายกชุด พร้อมทั้งรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าจะเกิดความโกลาหลตามมาอย่างแน่นอนและนำพาสเปนไปสู่จุดแตกหักที่ยากจะประสานรอยร้าวได้
คำถามสำคัญคือ หลังจากนี้นายการ์เลสจะจัดการกับผลประชามติสนับสนุนให้กาตาลุญญาแยกตัวเป็นสาธารณรัฐจากสเปนกว่า 2 ล้านเสียงอย่างไร หลังจากที่เขาเปลี่ยนใจไม่ทำตามเจตนาของชาวคาตาลันที่ยืนอยู่ข้างเขามาโดยตลอด
Photo: JORGE GUERRERO, LLUIS GENE/AFP
อ้างอิง: