วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ว่า ขณะนี้การพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในวาระที่ 2 เมื่อร่างกฎหมายที่เสร็จไปในเบื้องต้นมีการพิจารณาในหลักการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ยังได้นำไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนโดยทั่วไปมาประกอบการพิจารณาในวาระที่ 2 ต่อไป ขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกากำลังเร่งจัดทำร่างกฎหมายดังกล่าว และจะดำเนินการได้ทันภายในกรอบ 50 วันที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้
สำหรับร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกามีสาระสำคัญคือ การป้องกันอบายมุข ซึ่งแตกต่างจากร่างเดิม รายละเอียดทั้งหมดจะอยู่ในการพิจารณาวาระที่ 2 โดยสาระสำคัญจะอยู่ในวาระแรกที่ดูในหลักการก่อนว่าจะต้องเติมเต็มในด้านใดบ้าง ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล การจัดทำร่างขณะนี้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นเจ้าของร่าง และอำนาจซูเปอร์บอร์ดยังคงหลักการเดิม แต่จะมีการใส่รายละเอียดใหม่ในกระบวนการต่างๆ เช่น ใบอนุญาตต้องดำเนินการอย่างไร และจะต้องมีแผนการลงทุนต่างๆ
ส่วนที่มีข้อเสนอให้คนไทยมีเงิน 50 ล้านบาทจึงจะสามารถเข้าใช้บริการได้นั้น ปกรณ์ยอมรับว่าเป็นแนวคิดเบื้องต้น ซึ่งประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่ขณะนี้ยังเป็นตัวเลขเบื้องต้นเท่านั้น และไม่อยากให้ประชาชนไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องแบบนี้ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้เอาเรื่องการพนันเป็นหลัก แต่เน้นแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นหลัก
“ส่วนตัวคิดว่าถ้าใส่เรื่องนี้แน่นๆ ก็จะเป็นการป้องกันไม่ให้คนไทยมาเล่นการพนันซึ่งเป็นสิ่งมอมเมาต่างๆ เหล่านี้ได้ แต่ก็เข้าใจว่านโยบายของรัฐบาลหลักๆ ก็คือแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ได้เน้นการพนัน” เลขาฯ กฤษฎีกา ระบุ
ขณะที่การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ตามหลักการแล้วจะมีอยู่ 2 เรื่องที่คล้ายกันอยู่คือ รับฟังความคิดเห็นกับเรื่องประชามติ โดยการรับฟังความคิดเห็นจะนำไปประกอบการพิจารณาของฝ่ายนโยบาย เมื่อรับฟังความคิดเห็นแล้วจะดำเนินการต่อไปอย่างไร แตกต่างจากประชามติที่จะเป็นไปในลักษณะที่ว่าถ้ามีความคิดเห็นอย่างไรก็ตกลงตามนั้น
“ดังนั้นต้องแยกกันให้ออก อย่านำไปปนกัน เพราะขณะนี้สังคมนำไปปนกันหมดแล้ว ทั้งเรื่องรับฟังความคิดเห็นและเรื่องประชามติ เป็นเรื่องที่แตกต่างกัน ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วยและรัฐบาลยืนยันที่จะเดินหน้าโครงการต่อ ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลและรัฐสภาที่จะพิจารณาตามรายละเอียดว่าจะแก้ไขตามที่เห็นสมควรอย่างไร” ปกรณ์ระบุ