เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา Cartier ก็ได้จัดงานใหญ่ระดับโลกที่ประเทศไทยสำหรับนิทรรศการและโชว์เคสคอลเล็กชันไฮจิวเวลรี Cartier Beautés du Monde ซึ่งทาง THE STANDARD POP ก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษกับทาง Yanina Novitskaya ซึ่งรับตำแหน่ง ซีอีโอ South East Asia & Oceania ของแบรนด์เครื่องประดับลักชัวรียักษ์ใหญ่จากประเทศฝรั่งเศสภายใต้บริษัท Richemont Group
โดยความน่าสนใจอยู่ที่ว่าพอทาง THE STANDARD POP ได้สอบถามว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่ทาง Cartier ถึงเลือกที่จะมาจัดงาน Cartier Beautés du Monde ต่อจากสเปนและจีน ทาง Yanina Novitskaya ก็ได้บอกว่าปัจจัยสำคัญคือทางแบรนด์ไม่ได้มองว่าประเทศไทยเป็นตลาดกำลังพัฒนา (Emerging Market) แต่เป็นถึงขั้นตลาดพัฒนาแล้ว (Emerged Market) ซึ่งในเชิงยอดขายเอง สำหรับร้านบูติกที่สนามบินสุวรรณภูมิเองก็เป็นร้านสนามบินของ Cartier ที่ทำยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดย Top 3 โลกมีร้านสนามบินที่เมืองดูไบ อิสตันบูล และกรุงเทพฯ แต่ทางแบรนด์ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเมืองไหนคืออันดับ 1 และอันดับ 3
มากไปกว่านั้น ทาง Yanina Novitskaya ก็ได้บอกว่ายอดขายของ Cartier ในประเทศไทยช่วงนี้ก็ถือว่าสูงขึ้นหากเทียบกับยุคก่อนโควิด และลูกค้าไทยเองก็หันมาจับจองสินค้าที่ร้าน Cartier ภายในประเทศแทนที่จะต้องเลือกบินไปซื้อต่างประเทศเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งในช่วงหลังหลายแบรนด์ลักชัวรีก็ได้หันมาใช้การตั้งราคาแบบ Price Harmonization ที่ราคาสินค้าทั่วโลกจะเท่ากันเกือบหมด ต่างกันแค่ส่วนของอัตราค่าเงินและการสามารถไปช้อปแบบ Tax Free ได้หากเดินทางไปประเทศอื่น
นอกเหนือจากนี้ อีกหนึ่งความน่าสนใจของการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ก็คือประเด็นของการไปโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้า Gen-Z ที่มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งทาง Yanina Novitskaya ก็ได้บอกว่า “มันอยู่ในดีเอ็นเอของ Cartier ที่เราจะต้องยึดมั่นกับสไตล์และรากฐานของเราเสมอ ซึ่งเราจะไม่มีวันที่จะไปวิ่งตามความต้องการของลูกค้ารุ่นใหม่ในเชิงของการดีไซน์สินค้า แต่แน่นอนทาง Cartier ก็ต้องศึกษาและลองการสื่อสารรูปแบบใหม่ที่เข้ากับภาษาของคนรุ่นใหม่ อย่างเช่นเรื่องความยั่งยืนและประเด็นสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราก็ต้องเอาไปปรับใช้ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิต การทำมาร์เก็ตติ้ง และการขายสินค้า”
ภาพ: Cartier