เกินมนุษย์! คือคำนิยามของภาพยนตร์ Carter ที่เรียกได้ว่าบ้าระห่ำ เดือดทะลุทุกมิติ เพราะจากคัตซีนที่ปล่อยออกมาก่อนออกอากาศทาง Netflix ในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นการแสดงฉากแอ็กชันที่ทุ่มเทมากๆ ของจูวอน พอๆ กับความบ้าพลังของทีมสร้างที่เล่าเรื่องราวการต่อสู้ของชายชื่อ คาร์เตอร์ ที่ไม่เหลือความทรงจำ กับภารกิจตรงหน้าที่เขาต้องรอด!
Carter งานกำกับของจองบยองกิล
Carter เป็นภาพยนตร์แอ็กชันของผู้กำกับจองบยองกิล เจ้าของผลงานเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ Confession of Murder (2012) งานทริลเลอร์ที่นำคดีฆาตกรต่อเนื่องฮวาซองมาถ่ายทอด จนทำให้เขาได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Baeksang Arts Awards และรางวัลผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยม Daejong Film Awards นั่นทำให้งานภาพยนตร์ Carter กลายเป็นที่รอคอย
ผู้กำกับจองบยองกิลเล่าถึง จูวอน นักแสดงที่จะมารับบทคาร์เตอร์ในครั้งนี้ “ผมมีจูวอนเป็นนักแสดงที่อยู่ในใจมาตั้งแต่เดบิวต์งานกำกับภาพยนตร์ รอได้ร่วมงานมาตลอด ผมรู้สึกได้ถึงความเศร้าในดวงตาเขาครับ ถ้าได้นักแสดงที่มีสายตาแบบนั้นมารับบทนี้ น่าจะสื่อสารอารมณ์ความสับสนของคาร์เตอร์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม”
จูวอนเป็นนักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากบท พัคชีอน ซีรีส์ Good Doctor (2013), My Sassy Girl (2017) และ Alice (2020) ซึ่งตัวจูวอนเองเพิ่งออกจากกรมในปี 2019 ผลงานหลังออกจากกรมของเขาก็เริ่มต้นด้วยสายทางที่เข้มขึ้น ทั้งซีรีส์ Alice ที่ต้องเดินทางข้ามเวลาเพื่อสืบคดี และ Carter ภาพยนตร์แอ็กชันที่เรียกได้ว่าโหดหินที่สุดในชีวิตการแสดงของเขา ทั้งยังเปลี่ยนลุคชนิดว่าหน้ามือเป็นหลังมือจนคนจำแทบไม่ได้
ผู้กำกับจองบยองกิลยืนยันคำพูดนี้ไว้ว่า “ตอนที่ปล่อยตัวอย่าง Carter ออกไป มีผู้บริหารในบริษัทหนังใหญ่ๆ ที่อเมริกาส่งข้อความมาถามว่านักแสดงใหม่คนนี้ไปหามาจากไหน ผมประทับใจมากครับที่จูวอนเปลี่ยนไปจนคนแทบจำไม่ได้” คำบอกเล่านี้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าทีมสร้าง Carter ทำสำเร็จ ในการเปลี่ยนจูวอนให้กลายเป็นคาร์เตอร์ ชายผู้ไร้ซึ่งความทรงจำ และต้องทำภารกิจตามที่เสียงในหูสั่งเขาเท่านั้น
จูวอน นักแสดงที่เก็บทุกรายละเอียดเพื่อเป็นคาร์เตอร์ที่สมบูรณ์แบบ
“คาร์เตอร์เป็นผู้ชายไร้ความทรงจำ เขาตื่นขึ้นมาโดยไม่เหลือความจำอะไรเลย ยกเว้นเสียงที่อยู่ในหู คอยบอกให้เขาทำสิ่งต่างๆ เพื่อเอาตัวรอดและปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ภารกิจนั้นก็คือการพาเด็กคนหนึ่งที่เลือดของเธอจะนำไปใช้ทำวัคซีนเพื่อช่วยทั้งโลกให้รอด ซึ่งตัวคาร์เตอร์เองก็ไม่รู้ว่าภารกิจที่มีคนสั่งให้ทำ หรือคนที่กำลังตามไล่ล่าเขา อะไรกันแน่คือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเขาไม่เหลือความจำอะไรเลย”
จูวอนเล่าถึงเรื่องราวในภาพยนตร์ Carter ที่เส้นเรื่องคือการปฏิบัติภารกิจเพื่อช่วยโลกให้รอด ขณะเดียวกันก็เป็นการเอาตัวรอดของคาร์เตอร์เอง พร้อมทั้งพยายามคลี่คลายปมว่าตัวเขาเองคือใครกันแน่ และด้วยความที่ตลอด 133 นาทีของภาพยนตร์ มีสัดส่วนของฉากแอ็กชันมากกว่า 80% ก็ทำให้จูวอนต้องรับบทหนักระดับเดอะแบก
“คาร์เตอร์เป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ท้าทาย ผมรักและทุ่มเทกับมันมาก ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่ต้องเล่นฉากต่อสู้ ทุกๆ วันต้องเจอฉากแอ็กชันที่ยาก ต้องจำจังหวะการต่อสู้รวมไปถึงเทคนิคการถ่ายทำด้วย ผมฝึกซ้อมเกือบ 4 เดือนครับ
“ความพิเศษของฉากแอ็กชันใน Carter คือเป็นแอ็กชันแบบ One-take ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาว 2 ชั่วโมงนิดๆ แต่มีฉากแอ็กชันในเรื่องเกือบตลอดสองชั่วโมง ผมต้องจำจังหวะทั้งหมดให้ได้ก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ แต่บางครั้งพอไปถึงหน้างานแล้วมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่อย่างไรผมก็ต้องจำท่าแอ็กชันทั้งหมดที่มี เพราะฉะนั้นผมเลยใช้เวลาไปกับการฝึกซ้อมเสียส่วนใหญ่ครับ
“ผมออกกำลังกายเยอะมากครับเพื่อฟิตร่างกาย เพราะในฉากแรกๆ จะได้เห็นร่างกายแทบจะทุกส่วนเพื่อให้เห็นรอยสักต่างๆ ที่บ่งบอกความเป็นคาร์เตอร์ แล้วก็มีการเปลี่ยนทรงผมที่น่าจะสั้นที่สุดในบรรดาผลงานที่ผ่านมาเลยครับ นอกจากนี้ก็มีรอยแผลผ่าตัดที่ท้ายทอย และการใช้โทนเสียงที่ผมใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อให้คนดูเข้าใจตัวละครนี้ ผมพยายามเป็นตัวคาร์เตอร์ให้ได้มากที่สุดจนรู้สึกว่ากลายเป็นเขาไปจริงๆ จนตอนที่เลิกถ่ายทำแล้ว มันยากเหมือนกันนะครับที่จะต้องปรับตัวจากคาร์เตอร์กลับมาเป็นตัวเองในชีวิตจริง”
ผู้กำกับจองบยองกิลได้เสริมถึงการสร้างคาแรกเตอร์คาร์เตอร์ ด้วยการพลิกภาพลักษณ์จากหนุ่มดอกไม้ให้กลายมาเป็นคาร์เตอร์ดิบเถื่อนที่สุดของความแอ็กชัน “จูวอนเป็นนักแสดงหนุ่มที่มีภาพลักษณ์ของหนุ่มดอกไม้ (Flower Boy) เราก็เลยคุยกันว่าจะเปลี่ยนโฉมเขาอย่างไรดี เพื่อให้ดูแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมขึ้น แต่จริงๆ แล้วจูวอนเองก็มีความเซอร์ ความแมนอยู่พอสมควร พอเปลี่ยนทรงผมเขาก็กลายเป็นคาร์เตอร์อย่างที่ผมคิดไว้แล้วครับ”
อีกอย่างที่น่าสนใจคือภาพยนตร์ Carter จูวอนแสดงเองเกือบทั้งหมด โดยพยายามใช้นักแสดงแทนให้น้อยที่สุด รวมทั้งฉากที่ต้องกระโดดจากตึกสูงที่จูวอนยืนยันว่าจะแสดงเอง ซึ่งเขาได้ให้เหตุผลไว้ว่า “ถ้าได้ชมภาพยนตร์คงมีหลายฉากที่คุณคิดว่าใช้ตัวแสดงแทน แต่จริงๆ แล้วเป็นผมเกือบทั้งหมดครับ ถึงแม้ว่าสตันท์ที่แสดงแทนผมจะทำได้ดีมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อยกับการที่นักแสดงแสดงด้วยตัวเองอยู่”
เทคนิคการถ่ายทำแบบเทคเดียว และรายละเอียดงานสร้างในภาพยนตร์ Carter
ภาพยนตร์ Carter ใช้เทคนิคถ่ายทำแบบ One-take ที่หากเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ก็เท่ากับต้องเริ่มการถ่ายทำใหม่ตั้งแต่แรก ในด้านการถ่ายทำแล้วจึงเรียกว่าเป็นงานมหากาพย์ โดยได้ออกมาเป็นความตื่นเต้นตลอดเวลาที่เรื่องราวดำเนินไป
ผู้กำกับจองบยองกิลเล่าถึงความพิเศษในงานสร้างและการถ่ายทำภาพยนตร์ไว้ว่า “Carter เป็นงานที่ท้าทายมากครับ อย่างในภาพยนตร์จะมีฉากกระโดดร่มอยู่ไม่กี่นาที ซึ่งมันเป็นการถ่ายทำจริงๆ เราใช้เวลาถ่ายทำกันมากกว่า 10 เทคครับ บางคนอาจจะทราบดีว่าสามารถจับภาพตอนที่กระโดดลงมาได้แค่เพียง 30 วินาทีเท่านั้น ถ้าวันหนึ่งกระโดด 10 รอบ ก็ถ่ายได้ประมาณ 400 วินาที จำได้ว่าวันที่ถ่ายฉากกระโดดร่มผมรู้สึกท้าทายมาก เพราะผมเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
“นอกจากนี้จะมีฉากแอ็กชันบนเฮลิคอปเตอร์ นั่นเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่เราสั่งทำขึ้นมาโดยเฉพาะนะครับ แต่พอถึงเวลาถ่ายทำจริงขึ้นมาก็เกิดปัญหาหลายอย่าง ทั้งใช้งานไม่ได้บ้าง ต้องเปลี่ยนมุมกล้องบ้าง เมื่อก่อนถ้ามีอะไรไม่ได้ดั่งใจขณะถ่ายทำผมจะเครียดมาก แต่ตอนถ่ายทำเรื่องนี้ผมไม่เคยโมโหแม้แต่ครั้งเดียวเลยครับ ถ้ามีอะไรไม่ได้ดั่งใจ ผมจะพยายามคิดว่ามันเกิดอุปสรรคเพื่อที่จะให้เราสร้างผลงานที่ดีขึ้นกว่าเดิมครับ
“อีกฉากที่ผมชื่นชอบคือฉากที่คาร์เตอร์ตื่นมาที่โรงอาบน้ำสาธารณะ จริงๆ แล้วฉากนั้นเป็นฉากจากบทหนังอีกเรื่องของผม แต่มันเป็นฉากที่ผมอยากลองถ่ายทำมาก เลยนำมาใช้ในเรื่องนี้ครับ
“เหตุผลก็คือตอนที่ไปหาโลเคชัน เราบังเอิญเจอโรงอาบน้ำสาธารณะร้างแห่งหนึ่ง
อย่างที่บอกว่าจริงๆ แล้วฉากนั้นเป็นฉากจากบทอีกเรื่องหนึ่งของผม เรียกว่าเป็นฉากในฝันของผมเลยก็ได้ครับ แต่ผมก็ตัดสินใจว่าค่อยไปเปลี่ยนบทเรื่องนั้นแล้วหันมาทุ่มกับเรื่องนี้ให้เต็มที่ก่อน พอได้ไอเดียแล้วผมก็ไปคุยกับทีมนักแสดงแอ็กชัน ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีใครอยากทำ และคิดไม่ออกเลยว่าจะหาสตันท์จำนวนมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร แต่โชคดีที่ทุกคนตอบตกลงและอยากถ่ายทำฉากนี้กันครับ
“ผมจบเอกศิลปะตะวันออกและเคยวาดฝันว่าอยากเป็นจิตรกร ตอนนั้นผมชอบการวาดภาพพู่กันมาก เทคนิคการวาดภาพด้วยหมึกคือต้องตวัดพู่กันลงไปทีเดียว ไม่เหมือนกับภาพวาดสีน้ำมันหรืออะคริลิกที่แต่งเติมได้ ถ้าได้วาดภาพที่เป็นธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งลงบนร่างกายคาร์เตอร์ก็น่าจะดี ผมจึงดีไซน์รอยสักขึ้นมาเอง เหมือนผมได้แสดงนิทรรศการส่วนตัวบนร่างกายของคาร์เตอร์เลยครับ”
สำหรับจูวอนเอง เขาได้เล่าถึงฉากแอ็กชันที่ยากและท้าทายที่สุดใน Carter ว่า “ตัวผมเองผ่านประสบการณ์ถ่ายทำมาก็เยอะพอสมควร ปกติแล้วก็จะพอเดาได้ว่าวันนี้ไปกองถ่ายแล้วต้องถ่ายฉากไหนบ้าง แต่สำหรับเรื่องนี้ผมไม่เคยเดาถูกเลยครับ มันเกินความคาดหมายมาก ทุกฉากจะมีความยากหมด มีทั้งฉากแอ็กชันที่ใช้แค่ตัวเปล่า, มอเตอร์ไซค์, เฮลิคอปเตอร์, กระโดดร่ม, รถบรรทุก, ปีนเขา ฯลฯ ครับ ส่วนตัวผมว่าฉากโรงอาบน้ำสาธารณะซึ่งเป็นฉากแอ็กชันแรกของเรื่องยากที่สุด”
ในท้ายที่สุด จูวอนและผู้กำกับจองบยองกิลได้ทิ้งท้ายถึงภาพยนตร์แอ็กชันสุดระห่ำ Carter ก่อนที่เราจะได้รับชมพร้อมกันทั่วโลกวันที่ 5 สิงหาคมนี้ ทาง Netflix
จูวอน: นี่เป็นภาพยนตร์ที่ผมตั้งตารอมานานครับ ผมห่างหายจากวงการภาพยนตร์มานาน ตอนได้อ่านบทครั้งแรก ผมคิดว่าต้องรับบทในเรื่องนี้ให้ได้ ถึงแม้ตอนแรกผมเองก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะลองดู ถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาดี มันต้องเป็นผลงานที่สุดยอดและน่าจดจำในประวัติการแสดงภาพยนตร์ของผมแน่นอนครับ
ผู้กำกับจองบยองกิล: ผมเริ่มทำอาชีพผู้กำกับตั้งแต่อายุ 25 ปี ที่ผ่านมาได้สร้างผลงานภาพยนตร์มาแล้ว 3 เรื่อง Carter เป็นภาพยนตร์สตรีมมิงเรื่องแรก ตั้งแต่ทำภาพยนตร์มา Carter เป็นเรื่องที่ยากที่สุด แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดครับ หวังว่าผู้ที่ได้รับชมภาพยนตร์จะมีความสุขเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างภาพยนตร์ Carter