วันนี้ (28 มิถุนายน) กลุ่มแคร์ คิดเคลื่อนไทย ได้ออกแถลงการณ์ในหัวข้อ ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทย อัดฉีด SMEs 2 ล้านล้านบาท ลดดอก ปลอดต้น 4 ปี โดยมีเนื้อหา ดังนี้
ตุลามหาวิกฤตเศรษฐกิจ ประเทศไทยปราศจากผู้ติดโควิด-19 ในประเทศมา 34 วันแล้ว แต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจยังคงเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เพราะธุรกิจต่างๆ ยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้ปกติเหมือนเดิม ต้องเผชิญกับภาวะที่ยอดขายลดลงอย่างมาก หรือยังไม่มีรายได้เลย ในขณะที่ต้นทุนการดำเนินกิจการเพิ่มขึ้นตามเงื่อนไขระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และมาตรการป้องกันอื่นๆ ที่ได้ถูกกำหนดขึ้นมาใหม่
มาตรการเยียวยาของภาครัฐมีข้อจำกัดทั้งในเชิงของความทั่วถึงและระยะเวลาที่สั้นอย่างมาก เช่น การเยียวยาผู้ว่างงาน 15 ล้านคน และเกษตรกร 10 ล้านคน ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทต่อเดือน เพียง 3 เดือน ในขณะที่ประเมินกันว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกให้กลับมาสู่สภาวะปกตินั้น ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 ปี
และที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ ผู้ได้รับผลกระทบมีจำนวนมาก เห็นได้จากลูกหนี้สถาบันการเงินที่ขอความช่วยเหลือจากมาตรการผ่อนปรนการจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้น ซึ่งมีมากถึง 16.3 ล้านราย โดยมีมูลหนี้สูงถึง 6.84 ล้านล้านบาท หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของสินเชื่อทั้งหมดในระบบ ในส่วนนี้มีธุรกิจที่ขอผ่อนปรนหนี้มากถึง 1.148 ล้านราย โดยมีมูลหนี้ทั้งสิ้นประมาณ 2.98 ล้านล้านบาท และมีหนี้บุคคลอีก 15.22 ล้านคน มูลหนี้ 3.87 ล้านล้านบาท
.
หนี้ 6.84 ล้านล้านบาทดังกล่าว ได้รับการผ่อนปรนเป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน เริ่มต้นจากเดือนเมษายน 2563 และแม้ว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 2 (ประมาณ 15.2 ล้านคน) โดยให้สถาบันการเงินมีมาตรการผ่อนปรนต่อไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะ SMEs กว่า 1 ล้านราย ที่เป็นผู้จ้างงานและผลิตสินค้าและบริการ ก็ยังอยู่ในภาวะคับขันมากขึ้นทุกวัน
แคร์จึงเห็นว่าประชาชนกว่าสิบล้านคนและธุรกิจกว่าล้านรายคาดหวังว่า เขาจะสามารถกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมภายในเร็ววัน และธุรกิจนับล้านรายเหล่านั้นหวังว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 โดยเร็ว เพราะสายป่านที่สะสมเอาไว้ได้ใช้ไปจนหมดแล้ว แต่อนาคตกลับยังดูมืดมนอย่างยิ่ง เพราะการเปิดเศรษฐกิจกระทำอย่างกระท่อนกระแท่น ประชาชนไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตตามปกติ แม้แต่การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน (ซึ่งหมายถึงประเทศตกอยู่ในภาวะคับขัน การรบ หรือการสงคราม) ก็ยังคงอยู่
และที่สำคัญคือ การท่องเที่ยวจากต่างประเทศก็ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเริ่มต้นเมื่อใด หากมองในทิศทางบวกมากที่สุดตามที่รัฐบาลเคยแถลงไว้ว่า รัฐบาลจะอนุญาตให้นักธุรกิจจากต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 1,000 คนต่อวัน ซึ่งหากเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ก็หมายความว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยไม่ถึง 1 แสนคน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับภาวะปกติที่ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยถึง 10 ล้านคน เราจะสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 1.7 แสนล้านบาทต่อเดือน
ภายใต้สภาวการณ์ดังกล่าว จึงมีการคาดการณ์โดยภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องว่า คนไทยอาจตกงานได้มากถึง 5-7 ล้านคน นอกจากนั้นนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาจะว่างงานอีก 4 แสนคน มีข่าวต่อเนื่องว่า บางธุรกิจปิดโรงงานและย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย และบางธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์จะปลดคนงาน เพราะยอดขายรถยนต์ตกต่ำ อีกทั้งต้องปรับตัวกับแนวโน้มใหม่ของอุตสาหกรรมที่หันมาผลิตรถไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้เร่งทดแทนแรงงานคนโดยการใช้หุ่นยนต์ ซึ่งทำให้พนักงานโดยเฉพาะวัยกลางคนเสี่ยงตกงานอีกนับหมื่นคน
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 นั้นมีคนไทยตกงานประมาณ 1.4 ล้านคน ดังนั้น มหาวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้จึงมีแนวโน้มรุนแรงมากกว่า 4 เท่าตัว ในปี 2540 เราเห็นการล่มสลายของสถาบันการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ความรุนแรงอยู่ในวงจำกัดและกระทบคนรวยเป็นส่วนสำคัญ จึงมีวลี ‘ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย’ แต่ครั้งนี้ชนชั้นกลางและคนยากจนหลายสิบล้านคนตลอดจนธุรกิจ SMEs เป็นล้านราย มีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องล้มละลาย เพราะจ่ายหนี้สินคืนธนาคารไม่ได้
ความเดือดร้อนของประชาชนและธุรกิจจะปรากฏให้เห็นอย่างกว้างขวางตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ เนื่องจากมาตรการของรัฐไม่เพียงพอและขาดเอกภาพ ดังนี้
- มาตรการเยียวยาประชาชน 25 ล้านคน โดยจ่ายเงินชดเชยเดือนละ 5,000 บาท ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว โดยคนไทยกลุ่มนี้ยังไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่าอนาคตของตนจะเป็นอย่างไร
- มาตรการสินเชื่อผ่อนปรนช่วยเหลือ SMEs ที่เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงิน วงเงิน 5 แสนล้านบาท ปัจจุบันมีผู้ผ่านการกู้เพียง 82,701 ล้านบาท หรือเพียง 16.5 เปอร์เซ็นต์ของวงเงิน โดยมี SMEs ที่ได้รับการช่วยเหลือเพียง 51,991 ราย จากจำนวน SMEs ซึ่งเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่มีปัญหากว่า 1.1 ล้านราย นอกจากนั้นยังมีธุรกิจ หรือ SMEs ซึ่งไม่ได้เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบ แต่ไม่สามารถขอรับความช่วยเหลืออีกจำนวนมาก
- โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาทของรัฐบาล กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติ โดยมีการเสนอโครงการมากถึง 46,411 โครงการ มูลค่า 1.448 ล้านล้านบาท แต่โครงการที่เสนอเข้ามานั้นไม่มีความชัดเจนว่า จะสามารถนำพาประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศไปในทิศทางที่ทำให้ประชาชนอยู่ดี กินดี และเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในระยะยาว เพราะเป็นโครงการที่ไม่มียุทธศาสตร์และขาดเอกภาพทางความคิด เนื่องจากเป็นการนำเสนอโครงการจากหน่วยงานต่างๆ ของรัฐด้วยความเร่งรีบ ดังนั้น จึงกล่าวกันว่า จะเป็นมาตรการที่ไร้พลัง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน และเป็นการ ‘ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ’
รัฐมีหน้าที่ช่วยให้ประชาชนและธุรกิจก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แคร์ยืนยันแน่วแน่ว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องช่วยให้ประชาชนและธุรกิจสามารถก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ไปให้ได้โดยไม่ทอดทิ้งใคร เปรียบเสมือนกับการสร้างสะพานเพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถก้าวข้ามทั้งเหวสุขภาพที่เพิ่งผ่านพ้นมาและเหวเศรษฐกิจที่อันตรายกว่ามาก
แนวทางหลักคือ การสนับสนุนจากภาครัฐที่ต้องให้เวลาอย่างเพียงพอกับประชาชนและธุรกิจประมาณ 4 ปี เพื่อฟื้นฟูและปรับตัวเพื่อเข้าสู่ภาวะ New Normal หลังจากวิกฤตโควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว และพลิกสถานการณ์จากปัจจุบันที่ประชาชนกำลังไร้ความหวังและเศรษฐกิจไทยกำลังรอวันตาย
ข้อเสนอของแคร์คือ ขอให้รัฐบาลสนับสนุนสินเชื่อผ่อนปรนวงเงิน 2 ล้านล้านบาท คิดดอกเบี้ย 2% ต่อปี ปลอดการชำระเงินต้นเป็นเวลา 4 ปี (โดยธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อยกู้ผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี) และรัฐบาลรับความเสี่ยงของความเสียหายจากการปล่อยกู้ดังกล่าวเกือบทั้งหมด (ซึ่งแตกต่างจากสินเชื่อ 5 แสนล้านบาทในปัจจุบันที่เมื่อประเมินในรายละเอียดแล้ว รัฐบาลจะรับใช้ความเสียหายให้เพียงประมาณ 30%) โดยขยายขอบเขตให้ SMEs ที่ไม่ใช่ลูกหนี้สถาบันการเงินได้รับการสนับสนุนสินเชื่อดังกล่าวด้วย
หากมีความเสียหายจากการปล่อยกู้ รัฐบาลสามารถออกเป็นพันธบัตรให้ธนาคารแห่งประเทศไทยซื้อที่ดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ระยะเวลาใช้คืน 100 ปี เพื่อชดใช้ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากหนี้เสียให้กับสถาบันการเงินในอนาคต
มาตรการอัดฉีด SMEs 2 ล้านล้าน ลดดอก ปลอดต้น 4 ปี จะช่วยให้ SMEs นับล้านราย สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจ และยังจ้างพนักงานกว่า 10 ล้านคนต่อไปได้ ช่วยให้ประชาชนกว่า 10 ล้านคน ไม่ต้องพักชำระหนี้ และเปิดโอกาสให้ SMEs มีเวลาเพียงพอที่จะวางแผนปรับตัว ปรับต้นทุน เพิ่มการลงทุน หรือแม้กระทั่งปรับเปลี่ยนธุรกิจไปทำธุรกิจประเภทอื่นๆ ก็ได้
วิกฤตสุขภาพและวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นวิกฤตทั่วโลก ทำให้กำลังซื้อทั้งในประเทศและจากต่างประเทศถดถอยลงอย่างมาก (ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าและบริการมากถึง 68% ของGDP) ดังนั้น เมื่อเทียบกับภาวะปกติที่มี NPL ประมาณ 3-4% จึงมีความเป็นไปได้ว่า NPL จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
แต่การให้เวลาที่เพียงพอกับธุรกิจในการปรับตัวและหลีกเลี่ยงการปลดพนักงาน และการรอให้สถานการณ์ทั่วโลกคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี เช่น การค้นพบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ย่อมจะช่วยลดความเสียหายดังกล่าว ต่างจากการดำเนินนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไปในปัจจุบัน ซึ่งจะไม่สามารถยับยั้งความเสียหายทางเศรษฐกิจที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันได้เลย
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล